การคิดแบบ “ตรงไปตรงมา” กับอันตรายของคนทำการตลาด

การคิดแบบ “ตรงไปตรงมา” กับอันตรายของคนทำการตลาด

     หลายๆครั้งเรามักจะตัดสินใจโดยไม่มีข้อมูลอยู่ในมือ เราอาจจะต้องคาดคะเนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและตัดสินใจพลาดในเรื่องใหญ่ๆ เราอาจจะโทษว่าตอนนั้นมีข้อมูลไม่พอ แต่ต่อให้ไม่มีข้อมูล จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเราเลิกคิดตรงไปตรงมาและสรุปไปเองก่อนตัดสินใจในการทำการตลาดครั้งสำคัญ
     ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราลดราคาแล้วยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทุกครั้ง หลายๆครั้งการทำโปรโมชั่นหนักๆ ถึงจะได้ยอดขายเยอะกว่า แต่อาจจบลงด้วยกำไรที่น้อยกว่าก่อนลดราคาด้วยซ้ำหรือถ้าเรายิ่งทุ่มงบการตลาดไปกับการรักษาฐานลูกค้าไว้ คุณค่าของลูกค้าระยะยาว (Customer Lifetime Value) ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นชัดเจน ซึ่งไม่เป็นความจริงในช่วงที่คุณค่าของลูกค้าระยะยาวยังต่ำอยู่ หากเรามองว่าการลงทุนรักษาฐานลูกค้าเป็นเรื่องเร่งด่วยแทนที่จะเป็นเรื่องลงทุนในระยะยาว
      แม้แต่การทำแบบสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าต่อการใช้สินค้าหรือบริการของเรา หากแบบสำรวจมีให้เลือกตั้งแต่ไม่พอใจมากถึงพอใจมากที่สุด ระหว่างพอใจกับพอใจมาก มันต่างกันแค่คะแนนเดียว แต่จริงๆแล้วในใจของลูกค้าอาจจะต่างกันมากก็ได้ฉะนั้นคิดแบบตรงไปตรงมาว่าถ้าเราทำอย่างนี้ แล้วจะเกิดอย่างนั้นเสมอไป จริงแล้วอาจไม่ใช่ และการคิดแบบนี้อาจส่งผลเสียในการตัดสินใจได้ด้วย

4 ข้อสำคัญก่อนตัดสินใจในการทำการตลาดหรือแม้แต่การทำธุรกิจ

1. ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเป็นคนชอบคิดตรงไปตรงมา
ลองทดสอบกันอีกข้อ: ถ้าเรากำลังทำแบบสอบถามกับกลุ่มเป้าหมายว่ายินดีจะซื้อสินค้าของเราเท่าไหร่ โดยถามทั้งชายทั้งหญิง สมมติว่าเราถามผู้ชายไปแล้ว 20 คน ผู้หญิงอีก 50 คน อยากรู้ว่าควรถามเพิ่มอีกเท่าไหร่ดีระหว่างถามผู้หญิงอีก 5 คนและผู้ชายอีก 100 คนกับผู้หญิงอีก 100 คนและผู้ชายอีก 5 คน

ถ้าเราตอบว่าผู้หญิงอีก 100 คนและผู้ชายอีก 5 คน เราอาจยังคิดแบบตรงไปตรงมาอยู่ เพราะการถามผู้หญิงเพิ่มจากที่ถามมามากพอสมควรไม่ช่วยให้เรารู้จักพฤติกรรมของผู้หญิงมากขึ้นไปได้มากกว่านี้แล้ว

2. โฟกัสไปที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่ตัวชี้วัด
ลองคิดเล่นๆว่าถ้าเราดูแลเว็บไซต์ให้ติดอันต้นๆของหน้าหนึ่งบน Google แล้วสมมติวันหนึ่งเว็บไซต์ที่เราดูและตกมาจากอันดับ 3 ไปอันดับ 4 เราอาจจะมองว่าก็แค่ตกไปอันดับเดียวเอง แต่ถ้าถามคนดูยอดขาย การตกอันดับอาจเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ เพราะยอดขายอาจจะตกเยอะมากก็ได้ หากเทียบกับการตกอันดับจากอันดับ 9 ไปอันดับ 10  ฉะนั้นเวลาเราเห็นเมตริกอย่างเช่นใน Facebook Page อย่าง Reach หรือค่า Engagement ลดลง คนกดไลค์เพจเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ถ้ายอดขายมันตกนิดเดียวก็ถือว่าธุรกิจของเรายังพอไปได้ เราควรโฟกัสไปที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่ตัวชี้วัด

3. รู้ลักษณะของความสัมพันธ์ของสาเหตุและผลลัพธ์ที่จะตามมา
ถ้าเราอยากรู้ว่าถ้าเราเพิ่มราคาแล้วยอดขายจะเพิ่มขึ้นเยอะหรือไม่ อย่าเทียบระหว่างราคาสูงกับราคาต่ำอย่างเดียว เราความตั้งราคากลางไว้ด้วย แล้วมาดูยอดขายที่ตามมาจากราคาที่เรา(เคย)ตั้งไว้ เราจะได้รู้ว่าถ้าเราเพิ่มราคาประมาณหนึ่งแล้วยอดขายเพิ่มขึ้นเยอะหรือไม่ ถ้าเพิ่มเยอะ เวลาที่เราเพิ่มราคาให้สูงอีก ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเยอะมากเหมือนเดิมหรือเปล่า หรือเพิ่มนิดเดียว การเทียบราคาแบบนี้จะช่วยให้เราไม่คิดเอาเองว่าถ้าเพิ่มราคาเยอะๆ แล้วยอดขายก็เยอะตามเสมอไป เราจะได้ตัดสินใจตั้งราคาที่ถูกต้อง

4. คิดเป็นภาพเข้าไว้
ลองใช้ข้อมูลตัวเลขที่อยู่ในมือแล้ววาดเป็นกราฟออกมาให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า (ไม่ใช่คิดเอาเอง) เราจะได้รู้ชัดๆว่าตรงไหนของกราฟที่เป็นจุดที่เราต้องใช้ตัดสินใจ อย่างน้อยการนำข้อมูลมาใช้ทำกราฟก็ช่วยให้เราหลุดกับดักการคิดตรงไปตรงมาได้ และให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ของสาเหตุและผลลัพธ์หน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้เราตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น เช่นหากเราต้องการโปรโมทสินค้า เราควรทุ่มงบเน้นโปรโมทประโยชน์ของสินค้าหรือฟังก์ชั่นกันแน่ ซึ่งถ้าคิดแบบตรงไปตรงมา หลายคนบอกว่าก็ต้องเน้นประโยชน์ของสินค้าสิ เราคงเคยได้ยินบ่อยๆว่า “ลูกค้าไม่สนหรอกว่าสินค้าคืออะไร แต่สนใจว่าสินค้ามันแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างไร”

คราวนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าการคิดแบบตรงไปตรงมามันอันตรายอย่างไร? คิดอะไรอย่าคิดเป็นเส้นตรงเสมอไปอย่างไรก็ขอให้รอบคอบก่อนตัดสินใจอะไรลงไปนะค่ะ

ที่มา marketingoops

โดย :
 1458
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

Pay per click เป็นการ โฆษณา ผ่านทางตัวแทนเว็บ เพื่อทำการ โฆษณา เว็บของคุณ โดย ค่าใช้จ่าย จะคิดจากจำนวนคลิกเป็นหลัก หากไม่มีจำนวนของการคลิก ก็จะไม่เสียเงินค่าโฆษณาแต่อย่างใด แต่อาจจะมีแตกต่างไปบ้างตามแต่ข้อตกลงแต่ละค่าย เช่น อาจจะมีการคิดเพิ่มเติมในรูปแบบของ ePPM หรือ จำนวนการแสดงโฆษณาต่อการแสดงหนึ่งพันครั้ง ในปี 2550 กูเกิล ได้เสนอระบบใหม่ Pay-Per-Action[1] ซึ่งอยู่ในขั้นทดลอง โดยเปลี่ยนจากระบบการจ่ายเงินค่าโฆษณาตามจำนวนที่มีคนคลิกเข้าไปดู เป็นการจ่ายเงินตามการกระทำที่กำหนด เช่น ซื้อของอย่างน้อยหนึ่งชิ้น หรือเข้าดูหน้าใดหน้าหนึ่ง โฆษณา PPC นั้นคือการลงโฆษณาผ่าน search engine ต่างๆ เช่น Google, Yahoo, MSN ใน keywordที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ วิธีนี้จะคล้ายคลึงกับการทำ SEO (Search Engine Optimization)เพียงแต่เว็บของคุณจะปรากฏอยู่ทางขวามือในส่วนของโฆษณา(ในขณะที่ SEO จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ) โดยคุณจะเสียเงินค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของคุณเท่านั้นหากแสดงเฉย ๆ จะไม่เสียเงินค่าโฆษณา
การทำ SEO นั้น เราจะต้องทำทั้งแบบ On Page และ Off Page สำหรับบทความนี้ Webmaster ก็ขอแนะนำช่องทางหนึ่งในการทำ SEO แบบ Off Page โดยผ่านช่องทางที่เรียกว่า Social Bookmark
ถ้าพูดถึงแนวโน้มการทำการตลาดออนไลน์ การตลาดจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เราก็จะสามารถ เลือกเครื่องมือที่จะนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และเครื่องมือที่สอดคล้องกับแนวโน้มของ Digital Marketing ได้เป็น 6 ข้อดังนี้

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์