5 วิธีทำเว็บไซต์ ให้ถูกใจคนซื้อยุค GEN Y

5 วิธีทำเว็บไซต์ ให้ถูกใจคนซื้อยุค GEN Y

5 วิธีทำเว็บไซต์ ให้ถูกใจคนซื้อในยุคดิจิตอล

         หลายคนกำลังคิดอยู่ละสิว่า สร้างเว็บให้ถูกใจคนซื้อ ก็แค่มีเว็บที่สวยไง มันจะไปยากอะไร !!!แต่สวยเรา กับสวยคนอื่น มันเหมือนกันรึป่าว แล้วอะไรกันแน่ที่เป็นปัจจัยให้เว็บของเราโดนใจคนซื้อ เอาเป็นว่ามาดูหลักการ 5 ข้อที่โบจะบอกต่อไปนี้ดีกว่าคะ ใครที่มีครบขอแนะนำให้เดินหน้า ทำการตลาด ออนไลน์ไปได้เลย แต่ถ้าใครยังมีไม่ครบก็ลองปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นดูนะคะ

  1. ตรงกลุ่มเป้าหมาย ( Meet Target) สำหรับการทำธุรกิจกลุ่มเป้าหมายเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่เป็นเจ้าของแบรนด์จะต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร ผู้ชาย หรือผู้หญิง ช่วงอายุประมาณเท่าไหร่ ตรงนี้จะส่งผลมากๆต่อการออกแบบเว็บไซต์ของคุณ และนอกจากนี้ยังต้องเลือกประเภทเว็บไซต์ให้เหมาะกับธุรกิจ เป็นเว็บ Blog , เว็บบริษัท (Corporate) หรือ เว็บร้านค้าออนไลน์ (eCommerce) เช่น ธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์ กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น อายุ 18 – 25 ปี เหมาะกับเว็บไซต์ประเภทร้านค้าออนไลน์ (eCommerce) ที่มีระบบสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ การออกแบบเว็บไซต์ก็ควรเลือกโทนสีสันสดใส เน้นความทันสมัย ดูโมเดิร์น นอกจากจะต้องออกแบบตามกลุ่มเป้าหมายแล้ว ควรออกแบบให้เหมาะสมกับตัวสินค้าด้วย
  2. ออกแบบสวย (Beautiful Design) เว็บไซต์ยิ่งสวยยิ่งดึงดูดคนซื้อ และถ้ายิ่งสามารถโชว์ความเป็นตัวตนผ่านเว็บไซต์ได้อีกยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เว็บสวยสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าของเราได้ด้วย โบแนะนำให้ ให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถชูสินค้าได้อย่างโดดเด่น เว้นระยะห่างภายในเว็บไซต์ให้เหมาะสม การใช้สีภายในเว็บไซต์ต้องดูสะอาดตา มีการจัดเรียงสีที่มีโทนเดียวกัน สีไม่โดด หรือจัดจ้านจนเกินไป การใช้ชนิดตัวอักษรที่อ่านง่าย มีขนาดตัวอักษรที่ชัดเจน รูปภาพที่นำมาใช้ภายในเว็บก็ควรมีขนาดที่เหมาะสม และต้องเป็นภาพที่มีคุณภาพ คมชัด และถูกลิขสิทธิ์นะคะ
  3.  ใช้งานง่าย (Easy to use) ใครๆก็ชอบอะไรง่ายๆ สั้นๆ เร็วๆ ดังนั้น เราต้องออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย มีการแบ่งสัดส่วนการใช้งานไว้อย่างชัดเจน เรียงลำดับเมนูให้เรียง สินค้า/บริการ, รีวิว/ผลงาน อะไรที่เกี่ยวกับเราเอาไว้ท้ายๆ  ช่องที่จะให้สอบถามข้อมูลต้องดูสะดุดตาเข้าถึงง่าย มีช่องสำหรับการค้นหาที่ใช้งานได้จริง มีช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน ใส่ไปให้หมดเลยค่ะ ทั้งอีเมล์ เฟสบุ๊ก, ไลน์, อินสตาแกรม, ทวิตเตอร์  แล้วถ้าใครมีหน้าร้านก็อย่าลืมไปปักหมุดแผนที่ลงในเว็บด้วย สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์เราได้เยอะเลยคะ
  4. รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Responsive) ยุคดิจิตอลนี้ ใครมีแค่โน๊ตบุ๊ค นี่คือ เอ้าท์มากนะ เพราะอะไรๆก็ drive ด้วยมือถือ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน กันทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเว็บของเราไม่รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ มันอาจจะเสียโอกาสในการขาย กระทบต่อความสะดวกสบายต่อการใช้งานได้ เพราะฉะนั้นการสร้างเว็บไซต์ต้องใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ที่ผู้ซื้อมี การปรับแปลงนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันสามารถสื่อถึงความเป็น professional ของเจ้าของแบรนด์ได้ด้วย ยิ่งสะดวก ยิ่งขายดี จำไว้ !!!
  5. เว็บปัง เนื้อหาต้องดี (Content is the best) ในยุคนี้ต้องทำเนื้อหาให้ดี ให้โดน และต้องยูนีกเป็นเอกลักษณ์ แล้วมันจะปังมาก คอนเทนท์ในเว็บไซต์เป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะเนื้อหาเราดี โดนใจคนซื้อ บทความนั้นก็จะถูกแชร์ออกไป เรื่อย เรื่อย เรื่อยๆ ทำให้กลุ่มลูกค้าเราขยายตัวกว้างขึ้น ทำให้ผู้ซื้อมองเห็นสินค้าเรามากขึ้นด้วย เรื่องนี้ต้องทำด่วน !!! เพราะมันสามารถส่งผลดีต่อเว็บไซต์ของเราด้านความน่าเชื่อถือ น่าสนใจ และยังเป็นผลดีๆมากๆๆ ก.ไก่ ล้านตัว ต่อการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคตด้วย

วิธีสร้างเว็บฟรี  สำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจขายของออนไลน์

      การสร้างเว็บไซต์ฟรี แบบง่ายๆ สามารถทำได้โดยการสร้างผ่านเว็บสำเร็จรูป ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ให้บริการประเภทนี้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น Weloveshopping, Lnwshop สองเว็บนี้เหมาะกับการสร้างเว็บร้านค้าออนไลน์ เพราะมีรูปแบบของเว็บไซต์ที่มีระบบตะกร้าสินค้าไว้ให้บริการ แต่สำหรับเหล่าบล็อกเกอร์ที่อยากมีเว็บ blog ขอแนะนำ wordpress.org และ blogger.com เว็บนี้มีธีมให้เลือกมากมาย ใช้งานง่าย เหมาะกับการเขียนบล๊อกมากๆค่ะ

        ข้อเสนอแนะ  : หากต้องการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามต้องการมากขึ้น ควรรู้เรื่องพื้นฐาน HTML, CSS ไว้บ้างนะคะ โดยสามารถศึกษาได้จาก Thaicreate.com ที่นี่เป็นแหล่งรวมโค้ดที่มีตั้งแต่ง่ายจนไปถึงยากเลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่ไม่อยากทำเอง อยากหาบริษัทรับทำเว็บไซต์แล้วละก็ ก็แนะนำให้ดูที่หน้าผลงานเป็นอันดับแรก ลองพูดคุยกับเจ้าของบริษัทดูว่าสามารถร่วมงานกันได้ไหม และลองเปรียบเทียบราคากับปริมาณงานที่เราต้องการ เราจะได้รู้ว่าเจ้าดีสุดในการทำเว็บไซต์ของเรา 

ขอบคุณแหล่งที่มา : webconer.com

โดย :
 2399
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

Hootsuite เว็บไซต์ที่รายงานสถิติและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย อินเทอร์เน็ต และสมาร์ตโฟน ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ได้รายงานถึงเทรนด์ของโซเชียลมีเดียที่มีโอกาสเกิดมากที่สุดในปี 2022 ซึ่ง Hootsuite ได้สรุปมาถึง 9 ข้อ ส่วนจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้นไปติดตามกัน
เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์