13 เทคนิคเพิ่มยอดขาย แค่ปรับแต่งเว็บไซต์เพียงนิดเดียว

13 เทคนิคเพิ่มยอดขาย แค่ปรับแต่งเว็บไซต์เพียงนิดเดียว

การยิงโฆษณาบน Facebook หรือ Google อย่างเดียวเพื่อสร้างการรับรู้เพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้ลูกค้าซื้อของจากเราเสมอไป เพราะลูกค้าอาจคลิกโฆษณาเข้าไปในเว็บไซต์ ดูสินค้าแล้วไม่สนใจ หรือสนใจแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป หรือรู้ว่าต้องทำอะไรต่อ แต่ตอนกดซื้อของกลับไม่รู้ว่าลูกค้าอยู่ขั้นตอนไหนของการซื้อของ สาเหตุพวกนี้เป็นสาเหตุที่การยิงโฆษณาไม่ได้ช่วยอะไร

ฉะนั้นการปรับแต่เว็บไซต์ขายของของเราจึงสำคัญไม่แพ้การเอาแต่ลงทุนทำคอนเทนต์และทำโฆษณา ถ้าอยากทำรายได้ ก็โฟกัสไปที่ยอดขายและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง

13 เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์ ที่ไม่น่าเชื่อว่าช่วยเพิ่มยอดขายได้

เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเว็บของเราดีแค่ไหนจนกว่าจะให้ลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์และให้ข้อมูลใน Google Analytics มาบอกเรา จริงๆเราควรทำ A/B Test กันไปเลยด้วยซ้ำว่า ถ้าเราปรับแต่งองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ และเที่ยวก่อนปรับแต่ง แบบไหนทำรายได้มากกว่ากัน

แต่ใครที่ไม่อยากทำ A/B Test ให้เสียเวลา เรามาดูว่าการปรับแต่งแบบไหนถึงจะได้ผล

 

1. เอาแบนเนอร์สินค้าออก

ฟังดูไม่เข้าท่าเลยใช่หรือไม่ แต่จริงๆแล้วการเอาแบนเนอร์สินค้าออก ทำให้ข้อมูลของสินค้าที่สำคัญกว่าแบนเนอร์ได้เลื่อนขึ้นมาบนเว็บไซต์ให้คนได้เห็น ไม่ต้องสร้าง awareness ให้เสียวเลาแล้ว บอกไปเลยว่าขายอะไร ราคาเท่าไหร่ เทคนิคนี้ได้จากเกม Sim City ซึ่งพอเอาแบนเนอร์ออกแล้ว ก็ทำให้มียอด Checkout เพิ่มขึ้นถึง 43%

2. ปุ่ม Buy Now ได้ผลกว่า Shop Now นะ รู้หรือยัง?

ผมยังสงสัยเลยว่ามันทำให้คนซื้อของมากขึ้นอย่างไร? เทคนิคนี้ได้ผลกับเว็บไซต์ขายสว่าน ซึ่งพอใช้คำว่า Buy Now บนปุ่มกดซื้อของแล้ว กลับทำให้มีคนคลิกเข้าไปซื้อมากกว่าปุ่ม Shop Now ถึง 17% ฉะนั้นการใช้คำแค่ต่างกันนิดเดียว ก็ทำให้คนคลิกมากหรือน้อยแล้ว

3. อย่าขยายรูปสินค้าบางตัวที่เราอยากขาย

จริงอยู่ว่ามันทำให้สินค้าตัวนั้น มีคนคลิกเข้าไปดูมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าจะขายได้ดีกว่าสินค้าตัวอื่นหรอกนะ ฉะนั้นทางที่ดี ควรโชว์รูปสินค้าให้เท่าๆกันน่ะแหละ ดีแล้ว อย่างเว็บไซต์ขายถุงเท้า SmartWool ที่พอทำทุกรูปสินค้าให้มีขนาดเท่ากัน กลับทำให้ Revenue per Visitor เพิ่มขึ้น 17%

4. บอกให้คนเข้าเว็บไซต์รู้ไปเลยว่า ต้องทำอะไรต่อไป

ไม่ใช่บอกว่า กดปุ่มนี้เป็นร้านขายของนะ เขียน Call to Action ไปเลย อย่างเว็บขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Samsung ที่พอหันมาใช้ Call to Action เป็นปุ่มกดเข้าร้านสินค้า ก็ทำให้เว็บมีรายได้ต่อเดือนเพิ่ม 16%

5. เอาแถบ Navigation Bar ด้านบนของเว็บไซต์ออกไป

ความเขื่อที่ว่าการมี Navigation Bar ทำให้คนเข้าเว็บรู้ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน แต่ความจริงคือ Navigation Bar ก็มีข้อเสียตรงมี่มีทางเลือกเยอะแยะให้คนกดเข้าไปจนไม่รู้ว่าจะกดตรงไหนก่อนดี ฉะนั้นดีที่สุดเอาออกไปเลย โดยเฉพาะช่วงที่คนกำลังเลือกซื้อของและกำลังจะกดจ่ายเงิน อย่าง VeggieTales ซีรีย์อนิเมชั่นของเด็ก ที่พอเอา Navigation Bar ออกไปก็ทำ Revenue per Visitor เพิ่มขึ้นอีก 14%

6. เลิกโชว์หมวดหมู่ย่อยของสินค้า (Subcategories)

คล้ายกับข้อที่แล้ว แต่ข้อนี้หลักการคือ เราต้องการให้ลูกค้าได้เห็นตัวเลือกสินค้าที่น้อยลง สร้างความรู้สึก Scarcity เพื่อสร้าง conversion และยอดขายเพิ่มขึ้นตามมานั่นเอง อย่าง com ที่เป็นร้านค้าสะดวกซื้อออนไลน์ของต่างประเทศ พอเอาแถบ Subcategories ออกก็ช่วยเพิ่ม Revenue per Visitor อีก 53.8%

7. Frequently Asked Question (FAQ) ช่วยเพิ่ม Conversion ไปเกือบ 70%

การใส่เกร็ดเล็กๆน้อยๆที่มาจากคำถามที่ถูกลูกค้าถามบ่อยๆ ใต้รูปสินค้าทำให้ Conversion หรือมีคนซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนมีข้อมูลเพิ่มขึ้นในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง

8. ลงสุ่มสินค้าอื่นขึ้นโชว์ในอันดับๆต้นๆในเว็บไซต์ดูบ้าง

อันนี้จะยากนึดนึง ถ้าธุรกิจไหนมีคนเขียนโค้ตเขียนอัลกอริธึ่มให้ทำอย่างที่ว่าได้ แล้วดูว่าการเรียงลดับของสินค้าแบบไหนทำ Conversion Rate, AOV และ RPV ได้มากกว่ากัน

9. ทำเว็บไซต์ตามอุปกรณ์ที่ลูกค้าเข้าเว็บไซต์

เพราะเมื่อคนเข้าเว็บไซต์จากสมาร์ทโฟนมากขึ้น เราก็ต้องทำเว็บฯให้เหมาะกับหน้าจอสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการกดปุ่มต่างบนเว็บฯในมือถือ โดยเฉพาะแบนเนอร์ซึ่งถ้าทำแบบ Desktop แล้วเอาไปโชว์บนมือถือ จะดูไม่น่าสนใจเลย เว็บฯของ Sony ที่ทำแบนเนอร์สำหรับมือถือ ก็ทำให้มีคนคลิกเพื่มอีก 20%

10. ปุ่มในหน้า Checkout ยังเป็นปุ่ม Continue อยู่หรือเปล่า

พราะถ้าเป็นแบบนั้น ลูกค้าก็จะไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องกดสั่งซื้อของอีกกี่ขั้นตอนถึงจะจบ ฉะนั้นในเพจที่ลูกค้ากดเลือกของเสร็จ ควรเขียนคำว่า Review Order จะดีที่สุด เพิ่งที่ลูกค้าจะได้รู้ว่าได้เวลาจ่ายเงินแล้วนะ ซึ่งปุ่ม Review Order ช่วยเพิ่ม Click Rate มากกว่าปุ่ม Continue ถึง 4% (จากการทดลองในเว็บฯของ Insound)

11. ลองทดสอบ User experience กับคอนเทนต์ตัวเดียวกัน

อย่างปุ่มซื้อสินค้า ถ้าเราทดสอบหลายๆรูปแบบ จนได้รูปแบบที่คนกดง่ายที่สุดก็จะทำให้เว็บฯได้ CTR เพิ่มขึ้น

12. รู้ใจคนเสิร์ช ถึงจะพิมพ์ Keyword ผิด

นี่ก็อีกเรื่องที่ต้องอาศัยคนเขียนโค้ดเก่งๆ แต่แค่นี้ไม่พอ เพราะเราต้องทำ Market Research เพื่อให้เข้าใจลูกค้ามากขึ้นว่าจริงๆแล้วลูกค้าต้องการอะไร จากคีย์เวิร์ดที่พิมพ์ผิด เว็บไซต์ขายรูปภาพอย่าง Bigstock ก็ได้ทดลองอัลกอริธึ่มสุ่มคีย์เวิร์ดชุดที่ว่า ทำให้มียอดดาวน์โหลดรูปภาพไปใช้มากขึ้น 3%

13. ใช้ภาพแบบ High Quality ก็ช่วยเพิ่มยอดขายได้

แต่เข้าใจว่าการได้รูปที่มีคุณภาพสูงต้องใช้ต้นทุนสูงเช่นกัน ฉะนั้นก่อนลงทุนเรื่องรูป อยากให้ทดสอบ Format ของเว็บและตำแหน่งที่วางของรูปดูก่อน

ส่วนเทคนิคเล็กๆน้อยในการโฆษณาให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มทางเลือกในการจ่ายเงิน เสนอส่งสินค้าฟรี นำเสนอสินค้าในมุมที่แต่ต่างจากเดิมที่มีแค่รูปภาพ ก็ลองเป็นวีดีโอดูบ้าง มีเบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ในโฆษณาให้สอบถาม เขียนนโยบายการคืนสินค้า และที่สำคัญ ลองคิดดูว่าจริงๆแล้วคุณค่าของสินค้าที่เราขายคืออะไรกันแน่ มันทำให้ลูกค้า “Get the Job Done” อย่างไร

แค่นี้ก็พอที่จะทำให้เว็บฯออนไลน์ของเราขายของได้เยอะขึ้นแล้วครับ

ที่มา: Marketingoops

โดย :
 1513
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

คงเป็นคำถามแรกๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่ต้องการ ขายสินค้าใน Facebook เพื่อมองหารายได้พิเศษ เพราะลําพังรายได้จากงานประจำอาจไม่พอยาไส้ เพราะเราต่างก็มีความต้องการต่างๆ นานา เช่น อยากได้บ้าน อยากได้รถ อยากมีคอนโด เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง หากจะรอให้นายขึ้นเงินเดือนให้ ก็คงนานนนนนนเลย หรือ หากจะเปลี่ยนงานเรื่อยๆ เราก็คงเหนื่อยกับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ทุกๆ ปี หรือ ครึ่งปี หรือ ทุกเดือน 555+ อันนี้คงไม่ไหวแล้ว
การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายหลากหลายประการ ทั้งทรัพยากรที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตมีปริมาณจำกัดลงทุกขณะ ประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำเริ่มตีตลาดในยุคไร้พรมแดน ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกซื้อสินค้าได้อย่างเสรีทั้งในด้านคุณภาพและราคา การแข่งขันทางด้านการค้าทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการต่าง ๆ จึงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้ อีกหนึ่งทางออกสำหรับความท้าทายใหม่นี้ก็คือ นโยบายเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์”
แรงจูงใจในการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภค ส่วนหนึ่งมาจาก อารมณ์ ความชอบ และ ความรู้สึก ซึ่งการทำการตลาดที่ดี ควรมีหลักจิตวิทยาควบคู่ไปกับกลยุทธ์ นอกจากการผลิตสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด และการเลือกวัตถุดิบ หรือบริการที่มีคุณค่าต่อลูกค้าแล้ว การใช้จิตวิทยาการตลาดอย่าง ASMR

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์