การศึกษาปี 2017 การก้าวข้ามสู่เทคโนโลยีที่ทันสมัย

การศึกษาปี 2017 การก้าวข้ามสู่เทคโนโลยีที่ทันสมัย

 

   

 เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยหลักสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น

        แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้

   
     เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน   โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษา โดยระบุว่า ปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมของการศึกษาไปอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่
     
     แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จึ่งกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น
   
     แนวโน้มต่อมา Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองเข้าสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย

       และอีกหนึ่งแนวโน้ม คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีให้ เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก

ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือในการสอนและประกอบกิจกรรมต่าง ๆ  นอกจากนั้น MOOCs ยังช่วยให้ผู้สอนรู้วิธีพัฒนาตนเอง เพราะที่ผ่านมาปัญหาด้านการศึกษามักจะเกี่ยวข้องกับการที่ผู้สอนยังเข้าถึงการรับรู้ฟีดแบ็กเกี่ยวกับความสามารถตนเองไม่ง่ายพอ ซึ่งทำให้ผู้สอนไม่รู้ข้อบกพร่อง และไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกหรือไม่ ซึ่ง MOOCs จะเข้ามาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ โดย MOOCs จะเก็บรวบรวมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้เรียนใช้บนระบบ และนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องส่งเสริมเทคโนโลยีกับการศึกษาของนักเรียนไทยมากขึ้น เพื่อสามารถตามแนวโน้มการศึกษาของโลกได้ทัน และสามารถแข่งขันกับโลกในปัจจุบันให้ได้


ขอบคุณที่มาจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 




โดย :
 3040
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

GREEN SOURCING การจัดซื้อสีเขียวพลิกวิกฤตโลกร้อน หนึ่งในวิธีหลายๆอย่างที่ภาคธุรกิจจะสามารถร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
หลังจากที่ Facebook ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ คือให้ผู้ใช้งานสามารถกด Reaction ต่างๆ ในคอมเม้นได้แล้ว โดยสัญลักษณ์แสดงความรู้สึกต่างๆ ก็จะเหมือนกับที่สามารถกดได้ในโพสต์ คือ ถูกใจ (Like), รักเลย (Love), ฮา (Haha), ว้าว (Wow), เศร้า (Sad), และโกรธ (Angry) โดยฟีร์เจอร์ใหม่นี้ได้สร้างสีสันให้กับการใช้ Facebook เป็นอย่างมาก
ในปัจจุบันมีผู้คนมากมายหันมาให้ความสนใจการเป็นยูทูปเบอร์ หรือการหารายได้จาก YouTube มากขึ้น ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่แสวงหาวิธีการที่จะขึ้นสู่ลำดับต้นๆ ในการค้นหาบนยูทูบ (YouTube Search) เช่นเดียวกับการขึ้นสู่ลำดับต้นๆ ในการค้นหาบน Google แต่ก็อย่างที่ใครหลายๆ คนทราบว่าการขึ้นสู่ลำดับต้นๆ ในการค้นหาบน Google นั้นมีความยากกว่าการขึ้นสู่ลำดับต้นๆ บนยูทูป เนื่องจาก Google มีการแข่งขันที่รุนแรงกว่า ดังนั้นเหล่าผู้แสวงหารายได้จึงได้หันมาใช้แพลตฟอร์มวิดีโอยักษ์ใหญ่อย่าง YouTube แทน Google ซึ่งมีโอกาสที่จะขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในการค้นหาง่ายกว่าแน่นอน หากคุณกำลังสนใจวิธีการที่จะพาคุณขึ้นสู่ลำดับสูงสุดในการค้นหาบน YouTube วันนี้ทีม Content Marketing ก็มี 2 วิธีดีๆ ในการขึ้นสู่อันดับ 1 บน YouTube Search ภายใน 30 วัน มาให้คุณได้อ่าน

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์