O2O “เทรนด์การตลาดใหม่” มาแรงปี 2018

O2O “เทรนด์การตลาดใหม่” มาแรงปี 2018

อะไรคือ O2O ? เทรนด์การตลาด O2O ชื่ออาจจะยังไม่คุ้นหูหลายๆคน แต่ถ้าบอกว่ามันคือ การทำ Online to Offline อาจจะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น หลายๆธุรกิจในปีที่ผ่านทุ่มเทงบทางการตลาดไปทางออนไลน์อย่างหนักหน่วง จนทำให้หน้าร้านด้านออฟไลน์ถูกลดความสำคัญลง ทั้งที่มันอาจจะเคยเป็นช่องทางที่แข็งแกร่งมาก่อน ดังนั้นเทรนด์การตลาด O2O จะเข้ามาเป็นตัวผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน

 1.เชื่อมต่อออนไลน์สู่ออฟไลน์ ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ นิยมการช้อปผ่านออนไลน์ เพราะเน้นที่ความรวดเร็ว ง่าย สะดวกไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย แต่อาจลืมไปว่าช่องทางออฟไลน์ก็เป็นเคยจุดแข็งในการขาย ตรงที่ได้เห็นสินค้าจริง หรือได้รับการนำเสนอสินค้าจากผู้ขายได้ชัดเจนมากกว่าการมองผ่านจอมือถือ ฉะนั้นแล้วเทรนด์การตลาด O2O จึงเข้ามา เพื่อจะนำจุดเด่นจากทั้ง 2 ช่องทางมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน

2.สมาร์ทโฟนเป็นจุดเปลี่ยน ในตอนนี้แทบจะไม่มีใครไม่พกมือถือ นั่นทำให้เห็นว่าช่องทางหลักของการตลาดมันมักจะผ่านเจ้าสมาร์ทโฟนเครื่องๆเล็กในมือเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งข่าว ส่งรูปภาพ ส่งคลิปวิดีโอ การแบ่งปันเรื่องเหล่านี้ในวงกว้างมากขึ้น เราจึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของ Responsive design คือการมีแพลตฟอร์มของหน้าร้านผ่านช่องทางออนไลน์ที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ โดยเน้นให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้เกิดความประทับใจจากผู้บริโภค

 3.คำ Keyword เป็นสิ่งที่สำคัญ การทำการตลาดผ่านคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญจะช่วยให้หลายๆอย่างง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการขายทั้งออนไลน์หรือออฟไลน์ การโปรโมทต่างๆ ผ่าน Google search หรือการทำบทความเพื่อทำ SEO เราจึงควรกำหนดคีย์เวิร์ดที่กระชับและเกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรง เทรนด์การตลาด O2O ในปีนี้นั้นจะไม่เน้นการเขียนบทความแบบธรรมดาอีกต่อไป แต่จะกระชับวงของคีย์เวิร์ดให้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

 

 4.เปลี่ยนลูกค้ามาเป็นเพื่อนและเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นคนถูกใจ หลังจากทำที่เราใช้กลยุทธ์เทรนด์การตลาด O2O มาอย่างเต็มที่ โดยเน้นสื่อสารแบบเพื่อนสู่ๆเพื่อน เหมือนการบอกเล่าสู่กันฟังมาอย่างเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนพวกเค้าเหล่านี้มาเป็น คนถูกใจ โดยจะเน้นเรื่องการส่งข้อมูลการสื่อสารต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะข้อมูลสินค้าใหม่ๆ โปรโมชั่นสุดพิเศษในโอกาสต่างๆ ต้องรวมการทำภาพประกอบให้โดนใจ เพื่อสานความสัมพันธ์นี้ไว้ให้นานที่สุด

 

5.การบอกต่อ  สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุด คือพลังของการบอกต่อ จากที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวล สิ่งที่ต่างๆที่จะเกิดขึ้นและดำเนินได้ด้วยดี จะเกิดมาจากการบอกต่อที่ทรงพลังจากทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เทรนด์การตลาด O2O เป็นการดึงข้อดีจากช่องทางทั้งสองมาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงสุด

 

ขอบคุณแหล่งที่มา : makewebeasy

 

โดย :
 4419
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็
หากมีอาการปวดกลางหลัง โดยอาจไล่ตั้งแต่บนลงล่าง แต่เป็นบริเวณกลางหลังพอดิบพอดี สันนิษฐานได้ว่าเกิดอาการผิดปกติขึ้นกับกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก หรือเอ็นยึดระหว่างกระดูกสันหลัง เกิดจากการก้มๆ เงยๆ ยกของหนัก หรือมีอาชีพที่ต้องถือของหนักๆ อยู่นานๆ เช่น ช่างภาพ คนงานก่อสร้าง ผู้ใช้แรงงานที่ต้องถือของ-ส่งของหนักๆ ไปตามที่ต่างๆ เป็นต้น หรืออาจเป็นพนักงานที่ต้องนั่งทำงานอยู่ในท่านั่งเดิมเป็นเวลานาน แล้วไม่ค่อยได้เปลี่ยนอิริยาบถ
ในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคนพูดที่ว่า knowledge economy และ creative economy กันมาบ้าง

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์