ช่วงนี้มีข่าว แก๊งหลอกลวง ออกมาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่ามีการหลอกลวงหลากหลายรูปแบบ ที่เหล่าบรรดานักชอปจะต้องเจอ ทำให้จำนวนผู้ถูกหลอกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคหันมาชอปปิ้งออนไลน์มากขึ้น จึงต้องรับสายเบอร์ที่ไม่รู้จักมากขึ้น จนกลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพนำมาใช้หลอกลวง
ตามสถิติที่ Gogolook ผู้พัฒนา Whoscall แอประบุตัวตนสายเรียกเข้าเปิดเผยนั้นค่อนข้างน่าสนใจและน่าตกใจในเวลาเดียวกัน เพราะระหว่างเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2564 แอป Whoscall ได้ระบุสายหลอกลวงในประเทศไทย ถึง 1.8 ล้านสาย ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่ง และอาจมีการโทรหลอกลวงอีกมากมายที่ไม่ได้อยู่ในระบบ
โดยวิธีที่แก๊งหลอกลวงนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงนี้ คือ
– หลอกถามข้อมูลส่วนตัว โดยอ้างว่าโทรจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งบริษัทโทรคมนาคม ธนาคาร สถาบันการเงิน บัตรเครดิต หน่วยงานรัฐ
– อ้างว่าโทรจากบริษัทขนส่งพัสดุ และแจ้งว่ามีพัสดุผิดกฎหมายถูกส่งมาแต่ไม่สามารถนำพัสดุออกมาได้ เพราะต้องการข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำพัสดุออกมา ซึ่งหากเหยื่อรู้ทันว่าไม่ได้ส่งพัสดุ มิจฉาชีพก็จะอ้างว่าจะมีการนำข้อมูลไปแจ้งความดำเนินคดี
– ล่าสุด สำนักงาน กสทช. เพิ่งแจ้งเตือนว่า มิจฉาชีพเปลี่ยนวิธีหลอกลวงจากเดิมที่ใช้การส่ง SMS หลอกลวง เป็นการโทรหลอกลวง โดยรูปแบบที่พบบ่อยในช่วงนี้ คือ อ้างว่าโทรจากหน่วยงานภาครัฐและแจ้งว่าปลายสายได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นเงิน 2,000 บาท หรือได้สิทธิ์เงินกู้ 200,000 บาท จากนั้นก็จะหลอกถามข้อมูลสำคัญหรือทำให้เสียทรัพย์
ดังนั้น หากมีเบอร์โทรเข้ามาสอบถามข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลสำคัญ คุณควรทำการยืนยันเสียก่อนว่าเป็นการติดต่อจากหน่วยงานจริงหรือไม่ หากมั่นใจว่าไม่ได้ดำเนินการเรื่องเหล่านั้นก็ให้ปฏิเสธอย่างชัดเจน หรือลองหาตัวช่วยอย่างแอป Whoscall เพื่อคัดกรองเบอร์โทรเข้าเบื้องต้น
นอกจากนี้ กสทช. ยังแนะนำให้ร้องเรียนผ่าน Call Center 1200 หรือ Call Center ของค่ายมือถือที่ใช้งาน รวมถึงหากมีหลักฐานเป็นคลิปเสียงของมิจฉาชีพที่โทรเข้ามา ก็สามารถมอบให้ กสทช. เพื่อประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : marketingoops