มาทำความรู้จักกับเว็บไซต์สำเร็จรูป

มาทำความรู้จักกับเว็บไซต์สำเร็จรูป


เว็บไซต์สำเร็จรูป คือแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดการเว็บไซต์ของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือทักษะในการเขียนโค้ดโปรแกรม การใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปมีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา ดังนี้:

คุณสมบัติของเว็บไซต์สำเร็จรูป

  1. อินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย:

    • มักมีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายด้วยระบบ Drag-and-Drop ซึ่งผู้ใช้สามารถลากและวางองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ, ฟอร์ม, และอื่น ๆ ลงในหน้าเว็บไซต์ได้ทันที
  2. เทมเพลตที่มีให้เลือกมากมาย:

    • มีเทมเพลตสำเร็จรูปที่หลากหลายและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพได้อย่างรวดเร็ว
  3. เครื่องมือปรับแต่ง:

    • มีเครื่องมือปรับแต่งที่หลากหลาย เช่น การปรับเปลี่ยนสี, ฟอนต์, เลย์เอาต์, และการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ดูมีเอกลักษณ์และตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้
  4. การเพิ่มฟังก์ชัน:

    • สามารถเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านการติดตั้งปลั๊กอินหรือวิดเจ็ต เช่น ฟอร์มติดต่อ, แกลเลอรีภาพ, ระบบบล็อก, ระบบร้านค้าออนไลน์, และอื่น ๆ
  5. การรองรับการแสดงผลบนมือถือ:

    • เว็บไซต์สำเร็จรูปมักมีการออกแบบที่เป็น Responsive Design ซึ่งสามารถแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน

ข้อดีของการใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป

  1. ความสะดวกและรวดเร็ว:

    • ไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  2. ค่าใช้จ่ายต่ำ:

    • การใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปมักมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการจ้างนักพัฒนาเว็บไซต์หรือบริษัทพัฒนาเว็บไซต์
  3. การบำรุงรักษาง่าย:

    • เว็บไซต์สำเร็จรูปมีเครื่องมือสำหรับการบำรุงรักษาและอัปเดตเว็บไซต์อย่างง่ายดาย
  4. รองรับการ SEO:

    • มีเครื่องมือและคำแนะนำสำหรับการปรับแต่ง SEO เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน

ทดลองใช้งานเว็บไซต์สำเร็จรูปSoGoodWeb ฟรี 30 วัน คลิก!!  
โดย :
 214
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ต่างก็เป็นเทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์บนหน้าค้นหา (Search Marketing) เทคนิคในการวางแผนและลงมือทำที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายหลักเดียวกันคือการเพิ่ม Traffic หรือยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้กับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ
เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็
เมื่อพูดถึง Social Commerce นาทีนี้ บริษัทที่ถูกจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้นบริษัทที่มีชื่อเล่นว่า “Small G” อย่าง Groupon (สำหรับ Big G เอาไว้ใช้เรียก Google) เราคงยังจำกันได้เมื่อก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา Groupon พึ่งเพิ่มทุนกว่า 950 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์