การยิงโฆษณาบน Facebook หรือ Google อย่างเดียวเพื่อสร้างการรับรู้เพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้ลูกค้าซื้อของจากเราเสมอไป เพราะลูกค้าอาจคลิกโฆษณาเข้าไปในเว็บไซต์ ดูสินค้าแล้วไม่สนใจ หรือสนใจแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป หรือรู้ว่าต้องทำอะไรต่อ แต่ตอนกดซื้อของกลับไม่รู้ว่าลูกค้าอยู่ขั้นตอนไหนของการซื้อของ สาเหตุพวกนี้เป็นสาเหตุที่การยิงโฆษณาไม่ได้ช่วยอะไร
ฉะนั้นการปรับแต่เว็บไซต์ขายของของเราจึงสำคัญไม่แพ้การเอาแต่ลงทุนทำคอนเทนต์และทำโฆษณา ถ้าอยากทำรายได้ ก็โฟกัสไปที่ยอดขายและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง
เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเว็บของเราดีแค่ไหนจนกว่าจะให้ลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์และให้ข้อมูลใน Google Analytics มาบอกเรา จริงๆเราควรทำ A/B Test กันไปเลยด้วยซ้ำว่า ถ้าเราปรับแต่งองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ และเที่ยวก่อนปรับแต่ง แบบไหนทำรายได้มากกว่ากัน
แต่ใครที่ไม่อยากทำ A/B Test ให้เสียเวลา เรามาดูว่าการปรับแต่งแบบไหนถึงจะได้ผล
ฟังดูไม่เข้าท่าเลยใช่หรือไม่ แต่จริงๆแล้วการเอาแบนเนอร์สินค้าออก ทำให้ข้อมูลของสินค้าที่สำคัญกว่าแบนเนอร์ได้เลื่อนขึ้นมาบนเว็บไซต์ให้คนได้เห็น ไม่ต้องสร้าง awareness ให้เสียวเลาแล้ว บอกไปเลยว่าขายอะไร ราคาเท่าไหร่ เทคนิคนี้ได้จากเกม Sim City ซึ่งพอเอาแบนเนอร์ออกแล้ว ก็ทำให้มียอด Checkout เพิ่มขึ้นถึง 43%
ผมยังสงสัยเลยว่ามันทำให้คนซื้อของมากขึ้นอย่างไร? เทคนิคนี้ได้ผลกับเว็บไซต์ขายสว่าน ซึ่งพอใช้คำว่า Buy Now บนปุ่มกดซื้อของแล้ว กลับทำให้มีคนคลิกเข้าไปซื้อมากกว่าปุ่ม Shop Now ถึง 17% ฉะนั้นการใช้คำแค่ต่างกันนิดเดียว ก็ทำให้คนคลิกมากหรือน้อยแล้ว
จริงอยู่ว่ามันทำให้สินค้าตัวนั้น มีคนคลิกเข้าไปดูมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าจะขายได้ดีกว่าสินค้าตัวอื่นหรอกนะ ฉะนั้นทางที่ดี ควรโชว์รูปสินค้าให้เท่าๆกันน่ะแหละ ดีแล้ว อย่างเว็บไซต์ขายถุงเท้า SmartWool ที่พอทำทุกรูปสินค้าให้มีขนาดเท่ากัน กลับทำให้ Revenue per Visitor เพิ่มขึ้น 17%
ไม่ใช่บอกว่า กดปุ่มนี้เป็นร้านขายของนะ เขียน Call to Action ไปเลย อย่างเว็บขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Samsung ที่พอหันมาใช้ Call to Action เป็นปุ่มกดเข้าร้านสินค้า ก็ทำให้เว็บมีรายได้ต่อเดือนเพิ่ม 16%
ความเขื่อที่ว่าการมี Navigation Bar ทำให้คนเข้าเว็บรู้ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน แต่ความจริงคือ Navigation Bar ก็มีข้อเสียตรงมี่มีทางเลือกเยอะแยะให้คนกดเข้าไปจนไม่รู้ว่าจะกดตรงไหนก่อนดี ฉะนั้นดีที่สุดเอาออกไปเลย โดยเฉพาะช่วงที่คนกำลังเลือกซื้อของและกำลังจะกดจ่ายเงิน อย่าง VeggieTales ซีรีย์อนิเมชั่นของเด็ก ที่พอเอา Navigation Bar ออกไปก็ทำ Revenue per Visitor เพิ่มขึ้นอีก 14%
คล้ายกับข้อที่แล้ว แต่ข้อนี้หลักการคือ เราต้องการให้ลูกค้าได้เห็นตัวเลือกสินค้าที่น้อยลง สร้างความรู้สึก Scarcity เพื่อสร้าง conversion และยอดขายเพิ่มขึ้นตามมานั่นเอง อย่าง com ที่เป็นร้านค้าสะดวกซื้อออนไลน์ของต่างประเทศ พอเอาแถบ Subcategories ออกก็ช่วยเพิ่ม Revenue per Visitor อีก 53.8%
การใส่เกร็ดเล็กๆน้อยๆที่มาจากคำถามที่ถูกลูกค้าถามบ่อยๆ ใต้รูปสินค้าทำให้ Conversion หรือมีคนซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนมีข้อมูลเพิ่มขึ้นในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง
อันนี้จะยากนึดนึง ถ้าธุรกิจไหนมีคนเขียนโค้ตเขียนอัลกอริธึ่มให้ทำอย่างที่ว่าได้ แล้วดูว่าการเรียงลดับของสินค้าแบบไหนทำ Conversion Rate, AOV และ RPV ได้มากกว่ากัน
เพราะเมื่อคนเข้าเว็บไซต์จากสมาร์ทโฟนมากขึ้น เราก็ต้องทำเว็บฯให้เหมาะกับหน้าจอสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการกดปุ่มต่างบนเว็บฯในมือถือ โดยเฉพาะแบนเนอร์ซึ่งถ้าทำแบบ Desktop แล้วเอาไปโชว์บนมือถือ จะดูไม่น่าสนใจเลย เว็บฯของ Sony ที่ทำแบนเนอร์สำหรับมือถือ ก็ทำให้มีคนคลิกเพื่มอีก 20%
พราะถ้าเป็นแบบนั้น ลูกค้าก็จะไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องกดสั่งซื้อของอีกกี่ขั้นตอนถึงจะจบ ฉะนั้นในเพจที่ลูกค้ากดเลือกของเสร็จ ควรเขียนคำว่า Review Order จะดีที่สุด เพิ่งที่ลูกค้าจะได้รู้ว่าได้เวลาจ่ายเงินแล้วนะ ซึ่งปุ่ม Review Order ช่วยเพิ่ม Click Rate มากกว่าปุ่ม Continue ถึง 4% (จากการทดลองในเว็บฯของ Insound)
อย่างปุ่มซื้อสินค้า ถ้าเราทดสอบหลายๆรูปแบบ จนได้รูปแบบที่คนกดง่ายที่สุดก็จะทำให้เว็บฯได้ CTR เพิ่มขึ้น
นี่ก็อีกเรื่องที่ต้องอาศัยคนเขียนโค้ดเก่งๆ แต่แค่นี้ไม่พอ เพราะเราต้องทำ Market Research เพื่อให้เข้าใจลูกค้ามากขึ้นว่าจริงๆแล้วลูกค้าต้องการอะไร จากคีย์เวิร์ดที่พิมพ์ผิด เว็บไซต์ขายรูปภาพอย่าง Bigstock ก็ได้ทดลองอัลกอริธึ่มสุ่มคีย์เวิร์ดชุดที่ว่า ทำให้มียอดดาวน์โหลดรูปภาพไปใช้มากขึ้น 3%
แต่เข้าใจว่าการได้รูปที่มีคุณภาพสูงต้องใช้ต้นทุนสูงเช่นกัน ฉะนั้นก่อนลงทุนเรื่องรูป อยากให้ทดสอบ Format ของเว็บและตำแหน่งที่วางของรูปดูก่อน
ส่วนเทคนิคเล็กๆน้อยในการโฆษณาให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มทางเลือกในการจ่ายเงิน เสนอส่งสินค้าฟรี นำเสนอสินค้าในมุมที่แต่ต่างจากเดิมที่มีแค่รูปภาพ ก็ลองเป็นวีดีโอดูบ้าง มีเบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ในโฆษณาให้สอบถาม เขียนนโยบายการคืนสินค้า และที่สำคัญ ลองคิดดูว่าจริงๆแล้วคุณค่าของสินค้าที่เราขายคืออะไรกันแน่ มันทำให้ลูกค้า “Get the Job Done” อย่างไร
แค่นี้ก็พอที่จะทำให้เว็บฯออนไลน์ของเราขายของได้เยอะขึ้นแล้วครับ
ที่มา: Marketingoops