เมื่อพูดถึงธุรกิจยุคใหม่ที่ผ่านมา ใครๆ ก็พูดถึง "Start-Up" ที่มีภาพลักษณ์ คือคนที่ทำธุรกิจจากไอเดียเจ๋งๆ คูลๆ แต่เมื่อพูดถึงธุรกิจขนาดเล็กที่คุ้นหูอยู่เมื่อหลายปีก่อนอย่าง "SMEs" ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า Start-Up และ SMEs ต่างกันอย่างไร SoGoodWeb จึงพาไปดู 5 จุดที่แตกต่างระหว่าง Start-Up และ SMEs ที่ทำให้หายสับสน และเข้าใจลักษณะการทำงานของธุรกิจทั้ง 2 แบบนี้มากขึ้น
สตาร์ทอัพ: เป็นธุรกิจเริ่มต้นจากแนวคิดและไอเดียอะไรบางอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของคน หรือแก้ปัญหา หรือ pain point บางอย่างในสังคม ซึ่งไอเดียเหล่านี้จะต่อยอดไปเป็นรายได้รูปแบบต่างๆ ในภายหลัง
เอสเอ็มอี: เป็นธุรกิจขนาดเล็ก ที่เริ่มต้นธุรกิจที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมมากกว่าสตาร์ทอัพ เนื่องจากมักจะเป็นการให้บริการ หรือขายสินค้า ที่ส่วนใหญ่จับต้องได้ใช้งานทั่วไป โดยมีไอเดียในการสร้างสินค้าใหม่ๆ หรือการสร้างแบรนด์ที่น่าสนใจเข้ามาส่งเสริมกับสินค้าและบริการที่มีอยู่ให้เติบโตเป็นรายได้
สตาร์ทอัพ: การเติบโตของสตาร์ทอัพ มีความแตกต่างจากเอสเอ็มอีที่ชัดเจน โดยการเติบโตของธุรกิจลักษณะนี้คือการระบบการจัดการธุรกิจที่สามารถทำให้เติบโตได้เรื่อยๆ และก้าวกระโดดต่อไปได้เอง โดยไม่ต้องขยายกิจการหรือลงทุนใหม่ ซึ่งสตาร์ทอัพมักจะมีตัวชี้วัดผลงานที่สะท้อนความสำเร็จในขั้นต่างๆ และไม่จำเป็นที่ต้องเป็นผลประกอบการของธุรกิจเสมอไป
เอสเอ็มอี: การเติบโตของเอสเอ็มอี จะเป็นการเติบโตแบบคงที่ โดยแนวโน้มการเติบโตมักเป็นไปตามการขยายกิจการ เพิ่มสาขา เพิ่มจำนวนบุคลากร เพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งหมายความว่าธุรกิจจะเติบโตตามความนิยมจากผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าและบริการ โดยดัชนีชี้วัดการเติบโตของธุรกิจเอสเอ็มอี คือรายได้และผลกำไร
สตาร์ทอัพ: แนวคิดของธุรกิจสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นมาจากการต้องการแก้ปัญหาบางอย่างในสังคม ต้องการลดเพนพ้อยต์ที่ตัวเองประสบปัญหา หรือหาโอกาสจากช่องว่างทางธุรกิจที่มีอยู่เพื่อให้กลายเป็นบริการที่สามารถแก้ปัญหานั้นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปแบบของสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น เป็นแอพพลิเคชั่นต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ เป็นระบบที่ซ่อนอยู่ในบริการต่างๆ เป็นต้น โดยมีสร้างรายได้จากการให้บริการที่ต่อเนื่อง
เอสเอ็มอี: แนวคิดของธุรกิจของเอสเอ็มอี คือการทำรายได้จากสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ ซึ่งยิ่งสินค้าและบริการได้รับความนิยมมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสสร้างรายได้มากตามไปด้วย
สตาร์ทอัพ: จุดเด่นของสตาร์ทอัพ คือมีแหล่งเงินทุนจากการระดมเงินทุน (Crowdfunding) จากบุคคลหรือบริษัทที่สนใจในไอเดียธุรกิจที่มีอยู่ โดยนำเงินที่ระดมทุนได้มาดำเนินการตามแผนที่ตั้งไว้ เช่น ลงทุนในระบบต่างๆ จ้างคนช่วยทำระบบ ซึ่งจุดหมายปลายทางคือทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ก่อนปันผลคืนผู้ที่ลงทุนเมื่อทำกำไรได้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจกลุ่มนี้มีสัดส่วนของคนที่ประสบความสำเร็จต่ำมาก
เอสเอ็มอี: เงินทุนเริ่มต้นกิจการของเอสเอ็มอี มักจะมีแหล่งที่มาสินเชื่อ เครดิต จากสถาบันการเงิน หรือเป็นเงินลงทุนจากเงินส่วนตัว หรือหุ้นส่วน เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจแล้วค่อยแบ่งผลประโยชน์ให้หุ้นส่วนที่ร่วมลงทุน
สตาร์ทอัพ: ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจในการตอบสนองแนวคิดในการแก้ปัญหาต่างๆ หรือความต้องการของผู้คนให้เกิดขึ้นได้จริง เช่น เทคโนโลยี IoT (Internet of Things), AI, Machine Learning ฯลฯ เช่น Uber เป็นบริษัท Startup ผู้พัฒนาแอพพลิเคชัน เรียกรถแท๊กซี่ ใช้เวลา 6 ปีในการพัฒนาธุรกิจ จนเป็นแอพพลิเคชั่นรถแท๊กซี่อันกดับหนึ่งของโลก ที่ได้รับการประเมินว่า มีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 68,000 ล้านดอลลาร์
เอสเอ็มอี: ใช่ว่าจะใช้เทคโนโลยีแล้วธุรกิจจะจัดไปอยู่ในกลุ่มสตาร์ทอัพเสมอไป กลุ่มเอสเอ็มอีก็มีการใช้เทคโนโลยีเช่นกัน แต่จะใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ไม่ใช่เป็นจุดขาย เช่น นำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการระบบคิวให้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในเทคโนโลยีในการสื่อสารมาช่วยประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ใช้เทคโนโลยีการผลิตเข้ามาช่วยทำให้สินค้ามีคุณภาพมากขึ้น และผลิตได้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : bangkokbanksme