กระแส Digital TV ที่กำลังจะมีในเมืองไทยทำให้การทำตลาดผ่านเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต) พวก คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ฯลฯ ที่เราเรียกรวมๆ ว่า Digital Marketing มาแรงและเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรายย่อยและนักการตลาดทั่วไปต้องให้ความสำคัญมากขึ้น
หลายท่านก็เคยได้ยินกลยุทธ์การตลาดแบบ 4 จอ ที่รวมจอคอมพิวเตอร์ จอสมาร์ทโฟน จอแท็บเล็ต และจอทีวี ที่นักการตลาดสามารถใช้กลยุทธ์ให้อุปกรณ์เหล่านี้ทำงานประสานกันเพื่อสื่อสาร ค้นหาความต้องการของผู้บริโภคและตอบสนองให้โดนใจแบบรวดเร็ว
ท่านอาจจะสื่อสารถึงลูกค้าเป้าหมายผ่านสมาร์ทโฟน เช่น ส่งข้อความประชาสัมพันธ์แล้วลูกค้าสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทีวีและสั่งซื้อผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์
สิ่งสำคัญที่นักการตลาดต้องเข้าใจคือลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นและเป็นผู้กำหนดการรับข้อมูลข่าวสารของตนเอง เพราะฉะนั้นหากท่านไม่เข้าใจและติดตามพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมายอย่างแท้จริงท่านไม่มีโอกาสได้เจอและติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างแน่นอน โดยทั่วไปลูกค้าในยุคปัจจุบันถึงอนาคตจะสื่อสารออนไลน์เพื่อการหาข้อมูล การติดต่อสื่อสาร หาความสุขหรือความบันเทิง และแลกเปลี่ยนหรือซื้อขาย
อินเทอร์เน็ต (Internet) ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ที่สำคัญคือลูกค้าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น (Individual) และเป็นฝ่ายเลือกหรือควบคุมการสื่อสาร นอกจากนี้ผู้บริโภคยังสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วมีปฎิสัมพันธ์ (Interactive) ผมมักจะพูดติดตลกว่า 3 I ซึ่งเป็นเรื่องที่นักการตลาดต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดปัจจุบัน
ความจริงหลักการ ทฤษฏี และกลยุทธ์การตลาดยังเหมือนเดิม ไม่ว่าการวิจัยตลาด การเลือกส่วนตลาด ตลาดเป้าหมาย การวางตำแหน่งการตลาด ส่วนประสมการตลาด (4P/4C) แต่ต้องปรับใช้ให้เหมาะกับเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
นับแต่ที่ WWW (World Wide Web) เป็นที่นิยมแพร่หลายในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงกันได้ ก็เกิดธุรกิจมากมายทั้งการค้า การศึกษา ฯลฯ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมาย เกิดการทำ E-Commerce และบริษัทบนอินเทอร์เน็ต (Website) มากมายที่เรียกว่า บริษัทดอทคอม จนถึงช่วงต้นศตวรรษ 2000 ที่บริษัทเหล่านี้ล้มละลายอย่างมากมายในสหรัฐอเมริกาจนทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากการปรับเทคโนโลยีให้ดีขึ้น เหมาะสมขึ้นและนำการตลาดเข้ามาใช้มากขึ้น การทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตก็กลับมาเฟื่องฟูอีกจนถึงปัจจุบันนี้
หากจะพูดถึงการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตแล้ว เราแบ่งได้เป็น 3 ช่วงที่เราเรียกกันติดปากว่า Web 1.0, Web 2.0 และ Web 3.0 ผมจะอธิบายง่ายๆ ไม่ลงลึกในรายละเอียดมากนัก เพราะบทความนี้เพียงต้องการให้ท่านผู้อ่านรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีกับการตลาดเท่านั้น
Web 1.0 ที่หลายท่านเรียกว่าเป็นเว็บไซต์ประเภทอ่านอย่างเดียว (Read-Only Web) อินเทอร์เน็ตได้ถูกคิดค้นในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1969 เริ่มต้นใช้ด้านการทหารและการสืบราชการลับ ต่อมาได้พัฒนาเรื่อยมาจนเกิด WWW และนำมาใช้ทางธุรกิจในช่วงต้นศตวรรษ 1990
Web 1.0 คือเว็บไซด์ที่ยังใช้กันอยู่มากในบ้านเรา อย่างเช่น บริษัททำเว็บไซต์ของตนเองให้ข้อมูลสินค้าและมีระบบสั่งซื้อ (Shopping Cart) และชำระเงินแต่การส่งสินค้ายังต้องใช้ระบบการส่งสินค้าแบบเดิมๆ ลูกค้าไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับบริษัทมากนัก
Web 2.0 ที่หลายท่านเรียกกันว่า อ่านและเขียน (Read-Write Web) ที่เริ่มรู้จักกันแพร่หลายในปี 2004 ลักษณะเด่นของเว็บในรุ่นที่สองนี้คือการที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบได้และแบ่งปันได้อย่างพวก Social Web ต่างๆ ที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Blog เป็นต้น เว็บรุ่นนี้แหละครับที่ทำให้การทำการตลาดเปลี่ยนไปมากอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันทั้งการทำวิจัยตลาด การเสนอสินค้า การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการขาย แม้แต่การทำกลยุทธ์ CRM, CSR
Web 3.0 ที่หลายท่านเรียกว่า อ่าน เขียน และดำเนินการ (Read-Write-Execute) ที่อินเทอร์เน็ตถูทำให้ฉลาดขึ้น ผู้ใช้ไม่เพียงแต่โต้ตอบได้รวดเร็วยังสามารถกำหนดเครื่องมือหรือ Software ที่สามารถใช้หาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็ว เทคโนโลยีจะจดจำสิ่งที่ท่านต้องการจากพฤติกรรมที่ท่านใช้ผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้เชี่ยวชาญในวงการคาดกันว่า Web 3.0 จะเป็นที่แพร่หลายในปี 2020
ท่านที่เชี่ยวชาญเรื่อง Social Media/Social Network สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ทำการตลาดได้อย่างรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ สำหรับท่านที่ยังไม่คุ้นเคยไม่เคยทดลองใช้ เทคโนโลยีพวกนี้ ต้องเริ่มทำความรู้จัก เข้าใจ และใช้มันให้เป็นประโยชน์แล้วครับ เพราะไม่เช่นนั้นท่านตามโลกปัจจุบันไม่ทันแน่นอน ต้องเริ่มก่อนที่จะตกยุคอย่างที่วลีฝรั่งว่า It Now or Never
จากรูปท่านจะเห็น Social Media หลากหลายรูปแบบ (Application, Website) สามารถใช้เป็นเครื่องสื่อสารและทำการตลาดได้อย่างเหมาะสม เช่น หากท่านต้องการแบ่งปันข้อมูล หรือใช้กลยุทธ์บอกต่อ (Word of Mouth) ท่านควรใช้ YouTube, Flickr, Facebook เป็นต้น
หลักการง่ายๆ ของกลยุทธ์ Digital Marketing สามารถแบ่งได้เป็น 2 ด้านคือ
โดยสรุปท่านต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ในสร้างสิ่งเหล่านี้
เรื่องสำคัญคือผู้บริโภคในยุคปัจจุบันต้องการมีส่วนร่วม (Customer Engagement) เป็นตัวของตัวเอง และมีความต้องการมากขึ้น ที่สำคัญคือท่านต้องตอบสนองให้โดนใจและรวดเร็ว
Credit : Marketeer.co.th
By : www.SoGoodWeb.com