จะทำเว็บไซต์ต้องรู้ Mobile First Indexing ระบบใหม่จาก Google

จะทำเว็บไซต์ต้องรู้ Mobile First Indexing ระบบใหม่จาก Google

จะทำเว็บไซต์ต้องรู้ Mobile First Indexing ระบบใหม่จาก Google

 

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้การปรับอัลกอริทึมของ Face book คือ Google ประกาศเริ่มใช้ระบบ Mobile First Indexing ที่จะสนับสนุนการบันทึกและเก็บข้อมูลที่เปิดผ่านหน้าจอมือถือก่อนเว็บไซต์ที่เปิดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

 ทำไม Google ถึงเลือกใช้ Mobile First Indexing

      หากถามถึงเหตุผล เรื่องนี้คงตอบได้ไม่ยากนัก เพราะตัว Google เองก็ได้ออกมาประกาศแนวคิดนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2015 หลังจากที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้โทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟนเป็นสื่อกลางในการค้นหามากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าในตอนนั้นพฤติกรรมการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการค้นหาข้อมูลก็ลดลงสวนทางกันไปอย่างไม่น่าเชื่อ

 

เมื่อพฤติกรรมของผู้คนหาเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสื่อกลางในการค้นหาแทนเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้ค้นหาส่วนใหญ่ก็มีความต้องการไปในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือความรวดเร็ว สะดวกสบาย เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนเมื่อทำการค้นหา Google จึงได้ทำการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมในการค้นหาของผู้คนให้มากขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับการค้นหาผ่านมือถือแทนการค้นหาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกมองว่ามีรูปแบบการใช้งานที่ซับซ้อนกว่าเป็นไหนๆ

Mobile First Indexing

แล้วเราจะรับมืออย่างไร

      การรับมือนั้นขึ้นอยู่กับว่าเว็บไซต์ของคุณถูกสร้างออกมาในรูปแบบใด เหมาะสมกับระบบนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเว็บไซต์ที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของ Google ในครั้งนี้คือ

เว็บไซต์ที่แยก URL เป็นเว็บไซต์ที่ดูบนมือถือโดยเฉพาะ

     เว็บไซต์ที่มีรูปแบบปรับไปตามดีไวซ์ที่เปิด เว็บไซต์ที่มีเพจในรูปแบบของ AMP และ ไม่ใช่ AMP (AMP เป็นเพจที่ใช้ HTML เปิดใช้งานง่าย คล้าย Facebook Instant Article) หรือจะสรุปง่ายๆ ว่าเว็บไซต์ที่เขียนโค้ดขึ้นมาเองจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยทางแก้ที่สามารถทำได้เบื้องต้น คือการปรับเนื้อหาให้หน้าเว็บไซต์ และบนมือถือเหมือนกัน ไม่ว่าจะทำการเปิดจากอุปกรณ์ใด หรือ URL ใดก็ตาม และสำหรับเว็บไซต์สำเร็จรูปอย่าง WordPress หรือ Blog ที่เปิดให้บริการต่างๆ อาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่ก็ยังถือว่าได้รับผลกระทบอยู่หากเว็บไซต์ไม่สามารถปรับขนาดหรือข้อมูลให้เข้ากับจอแสดงผลที่แตกต่างกันได้

แล้วเมื่อไหร่ที่ Google จะเริ่มลดลำดับเว็บไซต์ที่ไม่สามารถตอบสนองอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้

      คำตอบคือตอนนี้ทาง Google ยังไม่ได้เริ่มต้นปรับอะไรเกี่ยวกับงานในส่วนนี้ เพราะการประกาศในครั้งนี้เป็นเพียงการประกาศเพื่อขอแจ้งเก็บสถิติหรือบันทึกเอาไว้ก่อนว่าเว็บไซต์ไหนมีรูปแบบใด ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้ยังไม่กระทบต่ออันดับในการค้นหา แต่อีกราวๆ 4 เดือนข้างหน้า เว็บไซต์ที่ยังไม่พร้อมแสดงผลบนมือถือ หรือพร้อมแล้วแต่เว็บไซต์ยังทำการดาวน์โหลดหน้าเพจช้า รับรองได้ว่าลำดับในการค้นหาของคุณจะถูกลดลงไปอย่างไม่น่าเชื่อแน่นอน

     เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่คุณควรเตรียมตัวให้พร้อมและรับมือกับการปรับปรุงของ Google ในครั้งนี้ คือการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากที่สุด โดยเฉพาะความเร็วในการดาวน์โหลดหน้าเว็บเพจ ที่อาจจะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาลำดับของคุณได้

 

ขอบคุณแหล่งที่มา : SoGoodWeb.com

 

โดย :
 1556
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บขายของ หรือเว็บไซต์ E-Commerce ในปัจจุบันมีการเติบโตขึ้นสูงมาก และยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพราะผู้คนได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น และมีการใช้งานที่ง่ายมาก
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ทุกสำนักงานจำเป็นต้องมีและขาดเสียไม่ได้แล้ว บางครั้งพนักงานใช้คอมพิวเตอร์มากเสียกว่าปากกาด้วยซ้ำไป
เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์