4 เหตุผลดีๆ ที่ SMEs ควรทำโฆษณาออนไลน์

4 เหตุผลดีๆ ที่ SMEs ควรทำโฆษณาออนไลน์

4 เหตุผลดีๆ ที่ SMEs ควรทำโฆษณาออนไลน์

การทำธุรกิจหากไม่มีการโฆษณาแล้วใครล่ะจะรู้ว่าคุณกำลังทำธุรกิจอะไรและมีดียังไง การทำธุรกิจและการโฆษณาดูจะเป็นของคู่กันเสมอ เมื่อก่อนเราอาจจะคุ้นเคยกับรูปแบบการโฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ แต่วันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามาช่วยให้เราสื่อสารกันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นการที่จะโฆษณาสินค้าและบริการเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของเราก็คงต้องอาศัยความรวดเร็วที่ว่านี้เพื่อให้ชนะคู่แข่ง โดยผ่านรูปแบบการโฆษณาออนไลน์ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยช่องทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราคุ้นเคยอยู่ทุกวัน

จริงๆ แล้วรูปแบบการโฆษณาแบบออนไลน์นั้นสอดคล้องวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันอย่างมาก ด้วยความที่ทุกวันนี้สมาร์โฟนถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อในหน้าที่การงาน ครอบครัว และเพื่อนฝูง รวมถึงการสื่อสารกันบนโซเชียลมีเดีย ดังนั้น การใช้โฆษณาออนไลน์ทำให้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น และที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจดูเหมือนโฆษณาออนไลน์จะยังเอื้อประโยชน์และเหมาะสมกับธุรกิจแบบ SMEs มากที่สุดด้วยเหตุผลดีๆ หลายประการ 

1.ต้นทุน

       การทำโฆษณาออนไลน์นั้นมีต้นทุนในการทำที่ไม่มากจน SMEs รับไม่ไหว ไม่เหมือนกับการทำโฆษณาแบบเดิมที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก สามารถที่จะกำหนดความต่อเนื่องของการลงโฆษณาได้ตามงบประมาณที่มี สามารถวางแผนงบประมาณในการลงโฆษณาแต่ละครั้งได้ นอกจากนี้หากมีการทำโฆษณาออนไลน์แล้วอาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจ้างพนักงานขายลดได้อีกต่อหนึ่ง

2.เวลา

       โฆษณาออนไลน์นั้นสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ ลูกค้าสามารถที่จะรับชมได้จากทุกที่ทุกเวลา หากอยากชมซ้ำก็ทำได้ตลอด สามารถที่จะแชร์โฆษณานั้นๆ ได้เลย ในส่วนของเจ้าของธุรกิจหากต้องการที่จะปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ๆ หรือเปลี่ยนแบนเนอร์ก็สามารถทำได้ง่ายมากและทำได้ในทันที จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับ SMEs ที่มีสินค้าหลากหลายที่ต้องการโปรโมท

3.การวัดผล

       มีเครื่องมือที่จะวัดผลประเมินคุณภาพของโฆษณา ทำให้รู้ถึงข้อข้อบกพร่อง นำมาวิเคราะห์และแก้ไขได้ในทันที วิธีการตรวจสอบวัดผลโฆษณาทำได้หลายวิธี ทั้งวิธีการวัดการตอบสนองจากค่า clicks จำนวนวิว และจำนวนการสั่งซื้อสินค้าที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค รู้ประวัติการใช้งานว่า ซื้ออะไรบ้าง ชื่นชอบสิ่งใด ฯลฯ นำไปสู่การพัฒนาสินค้าหรือบริการได้เป็นอย่างดี

4.กลุ่มเป้าหมาย

      โฆษณาออนไลน์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและเข้าถึงได้ทั่วโลก สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งจากลักษณะ คุณสมบัติ และความสนใจ อำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในการซื้อสินค้าและตอบข้อสงสัยได้ทันที โฆษณาออนไลน์ช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิดการซื้อได้มากขึ้น แม้โฆษณาออนไลน์จะมีข้อดีให้เห็นชัดเจน แต่หากจะมองเพียงด้านเดียวก็คงจะไม่ถูกนัก ข้อเสียของโฆษณาออนไลน์ก็มีอยู่บ้าง เช่น ด้วยต้นทุนในการทำโฆษณาที่ไม่สูงมากนักก็อาจทำให้เกิดคู่แข่งได้ง่ายเช่นกัน แม้จะมีความรวดเร็วเป็นจุดเด่นแต่ก็ยากที่จะควบคุมหากข้อมูลที่ส่งออกไปถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบและมีการแชร์ออกไปในวงกว้าง หากโฆษณามีขนาดยาวเกินไปอาจทำให้ผู้ชมไม่อดทนดูโฆษณาจนจบ การเห็นเพียงภาพสินค้าและไม่ได้เห็นของจริงอาจทำให้น้ำหนักของความน่าเชื่อถือไม่เท่ากับสื่อหลักที่เคยมีอยู่หรืออาจทำให้ผู้ซื้อคาดหวังคุณภาพของสินค้าสูงเกินจริง ฯลฯ

     แต่เมื่อมองถึงประโยชน์ที่ SMEs จะได้รับกลับมาจากการทำโฆษณาออนไลน์น่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจเสียมากกว่า ผลเสียนั้นหากได้มีการควบคุมคุณภาพของสินค้าหรือบริการให้ดีจริงน่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้ดีที่สุด

ขอบคุณแหล่งที่มา : SCB SME

โดย :
 1237
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ท่ามกลางการต่อสู้ฟาดฟันกันของร้านค้าออนไลน์ในปัจจุบันที่มีมากมายให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการ ร้านแบบไหนจะอยู่ ร้านแบบไหนจะไป ร้านที่รายได้ดีเป็นยังไง ร้านที่ลูกค้าแน่นเขาทำอะไร ร้านค้าออนไลน์แบบไหนกันนะที่ได้ใจลูกค้า
ไม่ว่าจะหันไปทางไหน เราก็คงได้ยินคำว่า Marketing 4.0 อยู่บ่อยๆ แล้วเคยสงสัยไหมว่าจริงๆ แล้ว สิ่งนี้หมายถึงอะไร การตลาดออนไลน์เหรอ การขายของผ่านโซเชียลมีเดียหรือเปล่า วันนี้จะพามาทำความรู้จักกับ Marketing 4.0 แบบเข้าใจได้ไม่ยากกันค่ะ Marketing 4.0 จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ มีหลายคนให้คำจำกัดความของ Marketing 4.0 ไว้มากมายค่ะ แต่ถ้าให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆ เลยก็คือ “การตลาดที่เอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคหรือลูกค้ามากยิ่งขึ้น” การขายของ หรือการทำการตลาดจะไม่หยุดแค่ที่หน้าร้านอีกต่อไป แต่มันจะก้าวมาสู่โลกออนไลน์ด้วย ดูเผินๆ อาจดูเหมือนการตลาดที่เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้ที่เรียกว่าเทคโนโลยี แต่ความจริงแล้วเทคโนโลยีไม่ใช่หัวใจสำคัญของการตลาด 4.0 เพียงอย่างเดียวค่ะ แต่มันคือการตลาดที่มี “มนุษย์” เป็นจุดศูนย์กลางด้วย เพราะต้องอย่าลืมว่า เรากำลังใช้เทคโนโลยีให้เข้าถึงลูกค้าที่เป็น “มนุษย์” เรานี่เอง Marketing 4.0 และ Thailand 4.0 เกี่ยวข้องกันหรือไม่?
เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์