ใครๆ ก็มีฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากมีกิจการและมีอิสรภาพกำหนดชีวิตตัวเอง แต่พวกเราส่วนใหญ่มักไม่ได้เข้าใจความเป็นจริงของการทำธุรกิจ ไม่รู้ว่าทางสายนี้จะต้องพบเจออะไร และเรียกร้องอะไรจากเราบ้าง ทำธุรกิจโดยมีแต่ฝันและใจนำทาง ไม่มีหลักคิดที่ชัดเจน ไม่มี “กูรู” มาชี้แนะให้เหมือนกับธุรกิจยักษ์ใหญ่ว่าควรต้องคิดและบริหารจัดการอย่างไร ไม่น่าแปลกใจที่ข้อมูลจากสถิติจะระบุว่า ธุรกิจเกิดใหม่กว่าครึ่งจะไปไม่รอดภายในระยะเวลาภายใน 1 ปีหลังจากเริ่มกิจการ และ 80% ของธุรกิจที่รอดจากช่วงปีแรกก็จะล้มพับไปในช่วง 5 ปีต่อมา ส่วนกิจการที่ยังอยู่รอดส่วนใหญ่ก็มักมีสภาพแคระแกร็น ทรงๆ มากกว่าจะพุ่งทะยานและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำไมความฝันอันสวยงามในตอนเริ่มต้นถึงกลายเป็นฝันร้ายแบบนี้ไปได้? ทำไมการเป็นเจ้าของธุรกิจจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความฝันหดหาย พลังชีวิตเหือดแห้ง และสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต?
ในหนังสือที่สั่นสะเทือนความคิดในการทำธุรกิจเล่มดัง สร้างธุรกิจขั้นเทพ: เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จรู้อะไร ที่ผู้ประกอบการทั่วไปไม่เคยรู้ (ตุลาคม 2555: แปลจาก The E-Myth Revisited: Why Most Small Businesses Don’t Work and What to Do about It) ได้ให้คำตอบว่าเป็นเพราะ “ความเข้าใจผิดของผู้ประกอบการ” และ “สมมติฐานมรณะ” ที่คนส่วนใหญ่มีต่อการทำธุรกิจ ข้อสรุปนี้เป็นผลจากการที่ผู้เขียนได้เข้าไปให้คำปรึกษาโดยตรงแก่ธุรกิจน้อยใหญ่นับหมื่นราย จนเห็นจุดผิดพลาดทางความคิดและวิธีการทำธุรกิจของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้ธุรกิจหรือกิจการของพวกเขากลายเป็นตัวกินฝัน ทำลายพลังชีวิต ไปไม่รอด หรือไม่ก็ไม่อาจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
หนึ่งในสมมติฐานมรณะที่ทำให้ธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ล้มเหลวคือ การคิดว่าถ้าเราทำอะไรได้ดี (หรือเชี่ยวชาญในการทำอะไรสักอย่าง) แล้ว เราก็จะเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจนั้นตามไปด้วย เช่นว่า ถ้าฉันอบขนมพายได้หอมอร่อยกว่าใคร ฉันก็จะทำธุรกิจร้านเบเกอรี่ได้เยี่ยมยอดที่สุด ที่บอกว่าเป็นสมมติฐานมรณะก็เพราะว่า การเป็นผู้เชี่ยวชาญ(ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง)เป็นคนละเรื่องกับการทำธุรกิจ(นั้น)ให้ประสบความสำเร็จ การทำขมพายได้อร่อยสุดๆ นั้นเป็นคนละเรื่องกับการทำธุรกิจเบเกอรี่ให้เติบโตทำกำไรงดงาม คนที่ริเริ่มกิจการขึ้นมาไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ประกอบการได้โดยอัตโนมัติ หรือจะมีความสามารถในการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
การจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น คุณต้องมีคุณสมบัติสามอย่างคือ มีทักษะเชิงเทคนิค (เป็นผู้ชำนาญการ) เชิงการจัดการ (เป็นผู้จัดการ) และเชิงวิสัยทัศน์ (เป็นผู้ประกอบการ) การขาดอันใดไปคือหนึ่งในสาเหตุแห่งความล้มเหลวของธุรกิจ/กิจการส่วนใหญ่ ข่าวดีก็คือเราสามารถพัฒนาทักษะทั้งสามด้านนี้ขึ้นมาได้ อีกทั้งสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจคือ ทุกธุรกิจหรือกิจการจะต้องผ่านช่วงของการเริ่มต้น เติบโต และเติบโตเต็มที่ โดยแต่ละช่วงจะมีความท้าทายเฉพาะตัวให้ต้องรับมือ ซึ่งต้องใช้ทักษะในการจัดการที่แตกต่างกันไป ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติของแต่ละช่วงและจัดการไม่ถูกต้องเหมาะสม ธุรกิจก็จะประสบปัญหารุนแรง
อีกประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ ธุรกิจของคุณไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าภาพสะท้อนตัวตนของคุณ ตัวคุณเป็นอย่างไร ธุรกิจคุณก็จะเป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว “ถ้าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณ คุณก็ต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน แต่ถ้าคุณไม่เปลี่ยน ธุรกิจของคุณก็ไม่สามารถให้สิ่งที่คุณต้องการได้ การเปลี่ยนแปลงอย่างแรกที่ต้องทำก็คือ ความคิดของคุณว่าจริงๆ แล้วธุรกิจของคุณคืออะไร และถ้าจะให้มันสำเร็จหรือได้ผลจะต้องทำอะไรบ้าง” ซึ่งผู้เขียนก็อธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่านี้อย่างเป็นระบบ อันนำไปสู่แนวคิดที่สำคัญและท้าทายที่สุดเรื่องหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ว่า...
ความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณขายอะไร แต่อยู่ที่คุณขายอย่างไรต่างหาก เพราะ “ระบบ” คือคำตอบของธุรกิจขั้นเทพทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวสินค้า ระบบของธุรกิจนั้นๆ จะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะตามมา และระบบจะทำงานแทนตัวคุณโดยไม่จำเป็นต้องมีคุณตลอดเวลา ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวระบบธุรกิจที่ว่านี้ ไม่ใช่จัดการแต่งานประจำในแต่ละวัน ผู้เขียนยังชี้ว่า ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร คุณก็สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างระบบจาก “ธุรกิจแฟรนไชส์” ได้อย่างมหาศาล พร้อมอธิบายรายละเอียดไว้ในตอนที่สอง “การปฏิวัติสำเร็จรูป: มุมมองธุรกิจแบบใหม่” ทั้งยังแนะแนวทางสร้างระบบธุรกิจขั้นเทพในตอนที่สาม “สร้างธุรกิจขนาดย่อมให้ประสบความสำเร็จ” ที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อการทำธุรกิจไปในทุกมิติ
=====================================
ยังมีแนวคิดที่น่าสนใจอีกมากใน “สร้างธุรกิจขั้นเทพ” ที่ถ่ายทอดออกมาตรงนี้มาได้ไม่หมด หนังสือธุรกิจเล่มนี้มีสไตล์ค่อนข้างแปลก มีแง่มุมเกี่ยวกับชีวิตให้ขบคิดตั้งแต่ต้นจนจบ มีการอ้างอิงถ้อยคำจากครูทางจิตวิญญาณ นักปรัชญา นักจิตวิทยา นักฟิสิกส์ กวี มาประกอบการอธิบายเรื่องราวทางธุรกิจ เชื่อมโยงมิติการทำธุรกิจเข้ากับเรื่องปรัชญาชีวิตและการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ แนวคิดสำคัญหลายอย่างในเล่มจะเปลี่ยนมุมมองในการทำธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการของคุณไปอย่างคาดไม่ถึง ที่สำคัญมันจะไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะผลลัพธ์ทางธุรกิจของคุณเท่านั้น แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวตนภายในและชีวิตของคุณไปพร้อมกันด้วย
ผู้เขียนเองก็สรุปว่า ที่สุดแล้วหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่คุณเป็นและจุดที่คุณต้องการมุ่งไปในชีวิต ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจเท่านั้น หนังสือเล่มนี้ทั้งกระตุ้นความคิดและกระตุกความรู้สึกไปพร้อมกัน สามารถสื่อสารกับผู้อ่านได้ถึงระดับของอารมณ์ความรู้สึก ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงได้รับความนิยมจากเหล่าเจ้าของธุรกิจและผู้อ่านทั่วโลก ทั้งยังกลายเป็นหนังสือภาคบังคับในหลักสูตร MBA ของหลายสถาบันชั้นนำในสหรัฐอเมริกา นิตยสารไทม์ถึงกับยกให้เป็นหนึ่งในหนังสือด้านการบริหารธุรกิจที่มีอิทธิพลสูงสุดในโลกธุรกิจ (2011) เจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการรวมถึงผู้มีฝันอยากทำธุรกิจ ต้องลองอ่านดูสักครั้ง!!
Credit : Incquity.com