'ขายของออนไลน์' ต้องมี 'ต้นทุน' อะไรบ้าง?

'ขายของออนไลน์' ต้องมี 'ต้นทุน' อะไรบ้าง?

       "ร้านค้าออนไลน์" เปิดง่ายๆ ไม่ต้องมี "ต้นทุน" อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่ทำให้หลายคนที่หันมาทำธุรกิจในโลกออนไลน์ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมองข้าม "รายจ่าย" ที่เกิดขึ้นระหว่าง "ขายของออนไลน์" ที่จริงๆ แล้วเป็นต้นทุนที่ต้องจ่าย ดังนั้นก่อนจะเริ่มเปิดร้านค้าออนไลน์ ลองมาเช็คลิสต์กันก่อนว่า มีต้นทุนอะไรบ้างที่ต้องเตรียมรับมือ 

 

1.ค่าสาธารณูปโภค และค่าบริการต่างๆ

       ค่าน้ำ ค่าไฟ ต้นทุนสุดเบสิกที่เกิดขึ้นกับแทบทุกธุรกิจ ถึงแม้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้มาก แต่จำเป็นต้องนำมาคิดเป็นต้นทุนด้วย หรือแม้แต่ ค่าอินเทอร์เน็ตที่ต้องจ่ายทุกเดือน ยิ่งมีการติดต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากเท่าไร ยิ่งต้องมีต้นทุนมากตามไปด้วย

       ฉะนั้นในแต่ละเดือนจะต้องมีการรวมค่าน้ำค่าไฟหรือค่าอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการขายของออนไลน์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่ห้ามมองข้ามเป็นอันขาด

 

2.ค่าสต็อกสินค้า

       การขายของออนไลน์บางรูปแบบจำเป็นสต็อกสินค้าเพื่อให้ส่งให้กับลูกค้าได้ทันตามความต้องการ ซึ่งนี่คือต้นทุนสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องนำมาคิดเป็นต้นทุนหลักของร้าน ที่นอกจากต้นทุนในการสต็อกสินค้าแล้ว ยังอาจจะมีต้นทุนอื่นๆ ที่พ่วงมากับการสต็อกสินค้าด้วย เช่น ค่าขนส่งจากผู้ค้าส่ง ค่าเดินทางหรือค่าน้ำมันในกรณีที่เดินทางไปรับเอง เป็นต้น



3.อุปกรณ์แพ็กสินค้า

       กล่อง เทปกาว แผ่นสติกเกอร์ติดชื่อ เครื่องปริ้นท์ชื่อขนาดเล็ก ฯลฯ ที่ต้องใช้ในการแพ็กสินค้าเพื่อจัดส่งล้วนเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นในการขายของออนไลน์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสามารถลดต้นทุนในส่วนนี้ลงได้ หากมีการบริหารจัดการที่ดี

       เช่น การกำหนดราคาสินค้า ที่นำเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้เข้าไปคิดเป็นต้นทุนด้วย โดยอาจจะมีการบวกค่ากล่อง ค่าอุปกรณ์ยิบย่อยเข้าไปเป็นต้นทุนก่อนตั้งราคาขาย เพื่อไม่ให้ต้นทุนส่วนนี้กินกำไรที่เราควรจะได้ และลูกค้าไม่รู้สึกแพงเกินไป

 


4.ค่าส่งสินค้า

       หัวใจของการขายสินค้าออนไลน์คือการส่งสินค้าเร็วทันใจ และถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย "ค่าขนส่งสินค้า" จึงเป็นต้นทุนที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับผู้ค้าออนไลน์ และเป็นต้นทุนที่ส่งผลว่าแม่ค้าจะได้กำไรมากหรือไม่เลยทีเดียว

       ดังนั้น ร้านค้าออนไลน์จึงควร "เปรียบเทียบ" ผู้ให้บริการขนส่งเพื่อหาบริการที่เหมาะกับกิจการของตัวเองมากที่สุด เช่น ราคา ขนาด คุณภาพการขนส่ง การติดตามสินค้า ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนค่าส่งสินค้าได้แล้ว

 


5.ค่าโฆษณา หรือค่าทำการตลาดออนไลน์

       การทำการตลาด เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการทำการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบันจะมีต้นทุนเหล่านี้เข้ามาเพิ่มด้วย เช่น การทำโฆษณาบนสื่อออนไลน์ต่างๆ อาทิ Facebook, Instagram, Tiktok ฯลฯ 

       ดังนั้น การขายสินค้าออนไลน์จึงควรเตรียมต้นทุนในเรื่องของการทำการประชาสัมพันธ์ หรือควรจะมีการวางแผน ก่อนจ่ายเงินโฆษณาก็จะช่วยให้ได้การโฆษณานั้นมีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับต้นทุนที่ควักกระเป๋าจ่ายออกไปมากที่สุด

 


6.ค่าจ้างออกแบบ

       ในช่วงเริ่มต้นการขายสินค้าออนไลน์ต้องมีการสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างการรับรู้ และเป็นที่จดจำให้กับลูกค้าให้ได้ โดยอาจมีหลายองค์ประกอบ เช่น การออกแบบสัญลักษณ์ของแบรนด์ การสร้างเว็บไซต์ เปิดเพจเฟซบุ๊ก ถ่ายภาพสินค้า ฯลฯ

       ต้นทุนส่วนนี้อาจมีเฉพาะกับบางร้าน โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถออกแบบหรือลงมือทำเองได้ อาจจะต้องจ้างนักออกแบบทำให้ แต่ในกรณีที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มีทักษะในการออกแบบอยู่แล้วหรือสามารถทำงานส่วนนี้เองได้ ก็จะช่วยประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ไป

 


7.ค่าจัดการระบบหลังบ้าน

       ร้านค้าออนไลน์หลายแห่งเริ่มหันมาใช้บริการในการ “ไลฟ์” หรือถ่ายทอดสดในออนไลน์ ในกรณีที่การไลฟ์มีผู้ชมจำนวนมาก จะต้องอาศัยระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการข้อมูลลูกค้าแบบอัตโนมัติเพื่อลดการใช้แรงงานคน ช่วยลดความผิดพลาด และช่วยร่นระยะเวลา

       การเลือกใช้ระบบจัดการหลังบ้านที่มีบริการแตกต่างกันออกไป ย่อมมีต้นทุนในเรื่องของการจ้างงานผู้ให้บริการนอกองค์กร หรือซื้อโปรแกรม ซึ่งมีทั้งการจ้างแบบรายเดือน หรือเป็นการติดตั้งระบบแล้วบริหารจัดการต่อเองก็มีเช่นกัน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : Bangkokbiznews

โดย :
 2966
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

การตลาดแบบตัวต่อตัวหรือการตลาดแอปส่วนบุคคลสามารถไปได้ไกลในแนวการแข่งขันนี้และเป็นไปได้ที่จะเพิ่มชื่อแรกของผู้ใช้ในการสื่อสาร เป็นผลให้ผู้ใช้คาดหวังประสบการณ์ส่วนบุคคลจากผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ
ในยุคของโลกดิจิตอลหลายคนอาจจะคิดว่านามบัตรนั้นเป็นของโบราณไปแล้ว แต่โยนความคิดนั้นทิ้งลงคลองไปเลย เพราะในสมัยนี้นามบัตรยังเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการติดต่อประสานงาน และยังเป็นด่านแรกสำหรับการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของรูปแบบและดีไซน์ก็จะช่วยบ่งบอกความน่าเชื่อถือ รสนิยมขององค์กร รวมไปถึงความเป็นมืออาชีพได้ด้วย วันนี้ทีม Creative Design จึงจะขอพูดถึง การออกแบบนามบัตร ให้มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจของคุณ ซึ่งมีหลักการดังนี้
สำหรับโฆษณาทั้งหมด ขนาดที่ดีที่สุดของรูปภาพที่จะอัพโหลดคือ 1200x627 พิกเซล และเราแนะนำให้มีความกว้างต่ำสุด 600 พิกเซลสำหรับรูปภาพที่ปรากฏในฟีดข่าว อาจมีขนาดรูปภาพที่แนะนำอยู่ใน คำแนะนำผลิตภัณฑ์โฆษณาขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังสร้างโฆษณาประเภทใด หากรูปภาพของคุณใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าขนาดที่ระบุไว้ เราจะปรับขนาดรูปภาพของคุณโดยอัตโนมัติ ภาพเคลื่อนไหวหรือแฟลชไม่ได้รับการสนับสนุน ใช้ภาพที่ต่างกันสูงสุด 6 ภาพเพื่อสร้างโฆษณาเพิ่มเติมในแคมเปญของคุณโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์