กลยุทธ์การสร้างแบรนด์และเพิ่มยอดขายในโลกออนไลน์

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันนี้ไปแล้ว เห็นได้จากไลฟ์สไตล์ของคนไทยทั้งในสังคมเมืองและต่างจังหวัด ได้ให้ความสำคัญกับการใช้โซเซียลเน็ตเวิร์ค ทั้งเรื่องการของการสื่อสาร การค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการ ความบันเทิง การติดตามข่าวสารบ้านเมือง รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เนื่องจากกระแสความนิยมที่ทุกคนต้องอินเทรนด์ และง่ายในการเข้าถึงเพราะผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตได้พยายามพัฒนารูปแบบการใช้งานในราคาที่ไม่แพงมากนัก จึงทำให้วิถีการบริโภคข่าวสารและการสื่อสารมีต้นทุนที่ประหยัดกว่าในอดีต ที่สำคัญวิวัฒนาการ

ดังกล่าวมีผลต่อการตลาดของสินค้าและบริการแบรนด์ต่างๆ ที่หันมาใช้เครื่องมือนี้กันอย่างแพร่หลาย

เนื่องจากโซเซียลเน็ตเวิร์คสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร้ขีดจำกัด ในขณะเดียวกันก็มีความรวดเร็วในการเผยแพร่ข่าวสาร และมีต้นทุนในการทำงานที่ต่ำกว่าการใช้สื่ออื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อสามารถเข้าถึงสื่อดังกล่าวง่ายขึ้น จะทำให้การทำงานของนักการตลาดนั้นง่ายตามไปด้วย เนื่องจากสื่อดังกล่าวก็มีข้อจำกัดที่อาจ ทำให้การทำงานของนักการตลาดนั้นไปไม่ถึงฝันได้ทุกแบรนด์ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องเรียนรู้และศึกษากลุ่มเป้าหมาย และกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าเพราะรูปแบบการใช้ของผู้บริโภค แต่ละกลุ่มนั้นแตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่อยู่ในโลกออนไลน์ส่วนใหญ่นั้นคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยความจริงข้อหนึ่งที่ทราบกันดีคือ ทุกวันนี้เยาวชนในระดับประถมศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกโซเซียลเน็ตเวิร์คกันแล้ว แต่กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ต่างๆ คือผู้ที่มีกำลังซื้อใช่หรือไม่? คำตอบของนักการตลาดส่วนใหญ่จะต้องบอกว่าใช่อย่างแน่นอน ซึ่งความจริงแล้วอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ในการสร้างแบรนด์ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างการจดจำในแบรนด์ให้มากที่สุด นั่นหมายความว่ากิจกรรมการตลาดผ่านสื่อออนไลน์นั้น ไม่จำเป็นต้องโฟกัสในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แม้ว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายในการขายสินค้าและบริการอยู่แล้วก็ตาม แต่คนที่อยู่นอกกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่มีกำลังซื้อในวันนี้ หากเขาสามารถจดจำแบรนด์และตราสินค้าได้ เชื่อว่าในอนาคตคนเหล่านี้อาจเป็นลูกค้าได้เช่นกัน

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายในโซเซียลเน็ตเวิร์คที่กว้างเกินไปไม่ใช่เรื่องแปลกมากนักในยุคนี้ เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีตั้งแต่ระหว่างอายุโดยเฉลี่ย 10-65 ปี เพราะบางคนเกิดมาก็คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและอุปกรณ์ไอทีเลยก็มี ดังนั้น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการขายสินค้าของบางยี่ห้ออาจมีการกำหนดอายุลูกค้าอยู่แล้ว แต่ก็สามารถทำการตลาดให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลายของช่วงอายุ เช่น บางแบรนด์ต้องการเจาะตลาดของผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วงอายุ 14-17 ปี หรือบางแบรนด์อาจกว้างมากที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ 18-24 ปี ไม่ว่าจะกำหนดการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใดก็ตาม อำนาจในการซื้อก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น กลุ่มเด็กเกินไปที่ไม่มีบัตรเครดิตก็จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อในโซเซียลเน็ตเวิร์คเลย แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 24 ปีขึ้นไปก็จะมีโอกาสใน การขายได้มากกว่า

ไม่ว่าจะโฟกัสลูกค้ากลุ่มไหนก็ตาม สิ่งที่นักการตลาดที่ต้องการประสบความสำเร็จในการเข้าถึงผู้บริโภค จำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เนื่องจากแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างด้านวัตถุประสงค์การใช้งานโซเซียลมีเดียอย่างชัดเจน เช่น ต้องทราบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่กำลังติดโซเซียลเน็ตเวิร์คส่วนใหญ่จะนิยมแชทโปรแกรมไลน์ (Line) หากต้องการท่องเว็บไซต์ก็จะนิยมความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ เช่น ดูรายการทีวีออนไลน์ เล่นเกมออนไลน์ และชมยูทูป ทั้งนี้ เครื่องมือที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมใช้มากที่สุดคือสมาร์ทโฟน  เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อได้ง่ายและสามารถเข้าชมเว็บไซต์ที่ต้องการได้ทุกที่ และต้องทราบว่ากลุ่มวัยรุ่นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช็อปปิ้งออนไลน์มากนัก อย่างที่กล่าวตั้งแต่ข้างต้นว่ายังไม่มีกำลังซื้อ แต่ก็เป็นไปได้ว่าหากคนกลุ่มนี้เคยชินกับแบรนด์ผ่านโซเซียลเน็ตเวิร์คการตัดสินใจซื้อในอนาคตน่าจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน

หากต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่โตขึ้นมาอีกหน่อย คือกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาวหรือวัยทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี ซึ่งกลุ่มนี้ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องความบันเทิงและการใช้งานเพื่อการสื่อสารระหว่างกลุ่ม รวมทั้งการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ผ่านทางเฟซบุ๊คกิจกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการแชร์รูปภาพ รวมทั้งยังมีวัตถุประสงค์ในการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในกิจกรรมประจำวันของตนเอง เช่น การแต่งตัว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และการเรียน ที่สำคัญพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้เริ่มให้ความสนใจกิจกรรมการซื้อ-ขายผ่านออนไลน์ นั่นแปลว่าแบรนด์ที่ต้องการขายสินค้าและบริการต่างๆ ผ่าน โซเซียลเน็ตเวิร์คอาจจะได้รับประโยชน์จากสื่อดังกล่าว และสิ่งที่อยู่ในความสนใจของคนกลุ่มนี้คือความพยายามเรียนรู้และศึกษาเรื่องอีคอมเมิร์ช

ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่นักการตลาดที่ต้องการโลดแล่นบนตลาดออนไลน์ต้องทำก็คือ การใช้กลยุทธ์ในการเข้าถึงและเป็นส่วนหนึ่งกับคนในโซเซียลเน็ตเวิร์คที่สำคัญจะต้องเลือกใช้คอนเท้นท์ที่สามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย มีความชัดเจน รวมทั้งต้องสามารถเข้าถึงคอนเท้นท์ได้อย่างรวดเร็ว และข้อมูลต่างๆ ในการนำเสนอหรือโปรแกรมการใช้งานไม่ควรซับซ้อนมากนัก เนื่องจากคู่แข่งทางการตลาดที่เห็นความสำคัญของสื่อดังกล่าวมีจำนวนมาก และส่วนใหญ่เน้นเรื่องคอนเท้นท์ที่สามารถดึงดูดใจและสะดุดตา หากสามารถนำเสนอ แบรนด์ในลักษณะที่มีส่วนผสมของความบันเทิงอยู่ในตัว ก็จะได้รับความสนใจจากนักท่องเว็บไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น การใช้คำพูดที่โดนใจ หรือนำเสนอผ่านเรื่องราวที่อ่านแล้วอดไม่ได้ที่ต้องอมยิ้ม หรือกลยุทธ์อื่นๆ ที่ทำให้สมาชิกในโซเซียลเน็ตเวิร์คต้องการแชร์

ดังนั้น การทำการตลาดบนสื่อออนไลน์นั้นจะต้องมีรูปแบบและแนวคิดที่แตกต่างจากสื่อทั่วไป นอกจากนี้ หากสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสู่เว็บไซต์ของผลิตภัณฑ์ได้แล้ว สิ่งที่นักการตลาดต้องทำก็คือ เพิ่มความพยายามในการสร้างความสนใจในเนื้อหา และนำเสนอโปรโมชั่นเด็ดเพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อ รวมทั้งการสร้างความผูกพันในรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้เขาติดตามและต้องการกลับเข้ามาอีกในวันข้างหน้า

สำหรับกลยุทธ์ในการทำงานบนโลกออนไลน์ของแต่ละแบรนด์นั้นจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและวัตถุประสงค์หลักของสินค้าและบริการแต่ละยี่ห้อ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำเหมือนกันก็คือ การทำให้ แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด ดังนั้น จะต้องทำให้ตราสินค้าเข้าไปอยู่ในทุกที่ที่กลุ่มเป้าหมายเข้าถึง ทั้งนี้ เพื่อให้แบรนด์ปรากฏอยู่ในสายตาของลูกค้าได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรใช้ช่องทางหลักๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในโลกออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ค ยูทูป อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ ไลน์ รวมไปถึงเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นเข้าไปท่องเว็บไซต์ไหนมากที่สุด และต้องมีการสำรวจตลอดเวลาว่าเว็บไซต์ไหนที่ได้รับความนิยมในการเข้าไปใช้งานของผู้บริโภค

สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่าพลังของปากต่อปากของคนในโลกออนไลน์ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในการทำการตลาด เพราะจะทำให้

ผู้บริโภคนำไปแชร์และแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในกลุ่มเพื่อน การถูกพูดถึงในแง่บวกจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างแบรนด์ และมีโอกาสในการขายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญนักการตลาดจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำงานผ่านโซเซียลเน็ตเวิร์คยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เนื่องจากกลุ่มลูกค้าดิจิทัลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อย่างรวดเร็วและมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันอย่างไม่หยุดยั้ง

Credit : Marketeer.co.th

By : www.SoGoodWeb.com