เชื่อว่าผู้ใช้แท็กซี่ผ่านแอปโดยเฉพาะคนกรุงเทพ และจังหวัดใหญ่ๆอย่างเชียงใหม่ ก็คงใช้บริการ Grabและทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ใช้ Grab ในการเรียกแท็กซี่เช่นกัน ตอนนี้มีอัปเดตสำคัญ โดย Grab ได้นำระบบเทเลมาติกส์ และปุ่มโทรหาเบอร์ฉุกเฉิน (ปุ่มฉุกเฉิน) มาใช้ในแอปพลิเคชั่นอย่างเป็นทางการแล้ว ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศไทยด้วย
การที่ Grab นำระบบเทเลมาติกส์มาใช้ เป็นระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถทำการคาดการณ์ล่วงหน้า สามารถระบุพฤติกรรมการขับขี่ที่มีความสุมเสี่ยง อาทิ การขับรถเร็ว การเร่งความเร็วแบบกระชาก รวมถึงการเปลี่ยนเลน หักเลี้ยว และเบรกรถอย่างกะทันหัน โดยจะมีการส่งรายงานรายสัปดาห์ให้แก่คนขับเพื่อให้ความรู้และกระตุ้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขับขี่อย่างเหมาะสมทั้งนี้ Grab ได้ทดสอบระบบเทเลมาติกส์มาใช้ในประเทศสิงคโปร์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สถิติบ่งชี้ว่าฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยลดอัตราการขับรถเร็วลงร้อยละ 15, ลดพฤติกรรมการเบรกแบบกะทันหันร้อยละ 11 และลดการเร่งความเร็วแบบกระชากร้อยละ 18
นอกจากนี้ แกร็บยังได้ติดตั้งปุ่มฉุกเฉิน ในแอพพลิเคชั่น เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารสามารถกดโทรหาเบอร์ฉุกเฉินได้โดยตรงในกรณีเกิดเหตุจำเป็นการเปิดตัวสองฟีเจอร์ดังกล่าว ถือว่าเข้ามาเสริมมาตรฐานความปลอดภัยและบริการที่มีอยู่เดิมของ Grab ซึ่งช่วยปกป้องผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่ ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเดินทางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ก่อนการเดินทาง ผู้ขับขี่ของ Grab ต้องผ่านขั้นตอนการเช็คประวัติ การอบรม และการยืนยันตัว ก่อนให้บริการ
ระหว่างการเดินทาง ผู้โดยสาร สามารถใช้ฟีเจอร์ “Share My Ride” เพื่อแชร์รายละเอียดการเดินทาง ประมาณเวลา รายละเอียดของผู้ขับขี่ และตำแหน่งที่กำลังเดินทางอยู่แบบเรียลไทม์ให้แก่คนใกล้ชิดรับทราบได้ นอกจากนี้ มีประกันอุบัติเหตุการเดินทางส่วนบุคคลให้แก่ทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่ โดยทุกๆการโดยสารผ่าน Grab ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ภายใต้การคุ้มครองของประกันดังกล่าว
หลังการเดินทาง มีการตรวจสอบและดำเนินการต่อทุกเสียงตอบรับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุและป้องกันพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่