1) ความหวังและกำลังใจ คุณพ่อผมเคยสอนไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะทำอะไรอย่าได้หมดกำลังใจเป็นอันขาด เพราะการหมดกำลังใจจะทำให้หมดสิ้นทุกอย่าง กำลังใจและความหวังเป็นของคู่กัน เมื่อพูดถึงความหวัง ก็ต้องหวังอย่างเป็นไปได้ มีแผนการ มีวิธีการ อาจจะคิดเอง อาจจะลอกและดัดแปลงสิ่งที่คนอื่นทำเพื่อให้ดีขึ้น หาผู้ช่วยคิดช่วยทำ เมื่อมีความฝันก็จงเดินไปให้ถึง ในการลงทุน เราอาจจะหวังให้มีเงินสัก 20-30 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านบาท หรือมีรายได้ไหลเข้ามาโดยไม่ต้องทำงานเองเดือนละ 100,000 บาท หรือ 500,000 บาท ก็แล้วแต่คน แน่นอนว่าใครก็อยากได้ตัวเลขสูงแต่ต้องแลกมาด้วยการทำงานมากกว่าและเวลาที่นานกว่า ถ้าของเหล่านี้ไม่สมดุลกันการตั้งความหวังจะกลายเป็นไม่สมเหตุสมผลและมักจะผิดหวังไปในที่สุด
ขอบคุณที่มาของภาพ:4 società vicine al raddoppio
2) ทางเลือก คือมีหลายแผน แผนแต่ละอย่างมีหลายทางเลือก และวางขั้นตอนกลยุทธ์การตัดสินใจไว้เป็นขั้นตอน สำหรับการลงทุนในหุ้น เราอาจจะมองหุ้นไว้หลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่เติบโตตามกัน ตรงกันข้ามกัน หรือกลุ่ม defensive (คือ สามารถทำกำไรได้เรื่อยๆ เป็นของต้องกินต้องใช้ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างไร บริษัทกลุ่มนี้ก็ยังทำกำไรได้) ทำให้เราวสารถตัดสินใจลงทุนได้เสมอเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป นี่รวมถึงการถือเงินสดเอาไว้เป็นสัดส่วนเท่าไรอีกด้วย
3) สุดท้าย คือมีแผนสำรอง บางครั้งในธุรกิจเรียกว่า ทางออกหรือ Exit Strategy ซึ่งอาจจจะเป็นการขายกิจการให้คนอื่น การแปรรูปกิจการแล้วขายไป การแยกชิ้นส่วนขายออก เป็นต้น แต่สำหรับการลงทุน เราคงไม่สามารถเล่นแร่แปรธาตุกับหุ้นได้มากนัก อาจจะจำเป็นต้องขายตัดขาดทุนออกไปเมื่อแน่ใจว่าคิดผิดจริงๆ ซึ่งต้องคำนวณไว้ก่อนว่าเราสามารถยอมขาดทุนได้ที่เท่าไร หรือหากไม่แน่ใจก็ขายออกครึ่งหนึ่งก่อนก็ได้ รวมทั้งคอยซื้อกลับคืนภายหลังเมื่อพิจารณาแล้วว่าที่จริงนั้นคิดได้ถูกต้อง (ถ้าซื้อกลับมาได้ด้วยราคาต่ำกว่าที่ขายออกไปก็ถือว่าเป็นกำไรไป)
ที่จริงแล้วจะเห็นว่าหลักการทั้ง 3 ข้อนี้ สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการดำเนินชีวิตทั่วไป การวางแผนต่างๆ ในการทำงาน และเมื่อมาใช่กับการลงทุนต่างๆ (ไม่จำกัดว่าเป็นการลงทุนในหุ้นเท่านั้น) จะทำให้เรามีแผน มีทางหนีทีไล่ และมีความสุขไปตลอดระหว่างที่เราลงทุน ลองนำไปใช้กันดู เพื่อความสำเร็จอย่างเป็นสุขนะครับ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา:"มือเก่าหัดขับ"