ขายของออนไลน์อย่างยั่งยืน อย่าลืมการตลาดแบบ Content Marketing ที่เหนือคู่แข่งคุณ!

ขายของออนไลน์อย่างยั่งยืน อย่าลืมการตลาดแบบ Content Marketing ที่เหนือคู่แข่งคุณ!

>>> Facebook Page มักจะใช้ในการโพสต์เพื่อขายของอย่างเดียว เช่น สินค้ามีอะไรบ้าง ราคาสินค้า ลดราคาสินค้า โปรโมชั่นสินค้า ซึ่งนั่นเป็นข้อความที่แบรนด์อยากบอก แต่ไม่ได้คำนึงถึงผู้บริโภคเลยว่า พวกเขาต้องการอะไร ดังนั้นการทำ Content จึงควรคำนึงถึงกลุ่มคน 2 กลุ่ม ระหว่างเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารถึงสินค้าหรือบริการกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าหรือบริการที่แก้ไขปัญหาให้พวกเขาได้หรือทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ที่มา : www.ceoblog.co/wp-content/uploads/2017/08/sweetspot.jpg

Content Marketing คืออะไร?

     ลักษณะของ Content ที่ดีนั้น ไม่ใช่การทำให้คนเข้ามาเยี่ยมชมมากที่สุด ภาพสวยที่สุด บทความดีที่สุด แต่ Content ที่ดี คือ ข้อความที่แบรนด์ต้องการสื่อสารกับกลุ่มผู้ชม และให้ประโยชน์แก่กลุ่มผู้ชม

แล้วการทำ Content Marketing มีประโยชน์ต่อธุรกิจของเราอย่างไรบ้าง?

     ในบางครั้งผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Content Marketing อยู่ในรูปแบบของนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ เช่น หากคุณลองนึกภาพตามบทสนทนาดังต่อไปนี้

หยก : นี่ ๆ เธอเห็นบทความเจ๋ง ๆ จาก บิวตี้ บล็อกเกอร์ หรือยัง?
เจน : ยังไม่เห็นเลย มันคืออะไรอ่ะ?
หยก : ตอนนี้บิวตี้ บล็อกเกอร์ กำลังแข่งกันแต่งหน้า ในงานของแบรนด์ xxx อยู่ด้วยล่ะ แต่ละคนแต่งหน้าสวยมาก

     จากประโยคการสนทนาข้างต้น คุณก็จะเห็นได้ว่า หากเจ้า xxx นั่นคือแบรนด์ของคุณ มันก็จะเกิดการบอกต่อ แถมทรงพลังกว่าการที่แบรนด์พูดเองเพราะมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากเพื่อนหรือคนที่คุณรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี

     สำหรับผลลัพธ์ที่อยู่ในรูปแบบของรูปธรรมจับต้องได้นั้น เช่น จำนวน Reach ที่เข้าถึงผู้คนบน Facebook จำนวนการมีส่วร่วมกับโพสต์ไม่ว่าจะเป็น Like, Share, Comment หรือ Tag เพื่อน ๆ ของพวกเขา ซึ่งการทำ Content Marketing บน Facebook Page ข้อดีก็คือ สามารถดูสถิติและตัวเลขต่าง ๆ ได้จาก Insight หรือข้อมูลเชิงลึกของเพจ

Content เปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้ากลายมาเป็นลูกค้าได้อย่างไร?

     แม้ว่าผู้ใช้งานบน Facebook จะมีด้วยกันหลายล้านคน และเนื่องจาก Facebook Page สามารถสร้างได้ง่ายและฟรี ดังนั้น แม้ว่าจะมีโอกาสทางธุรกิจอยู่อย่างมากมาย แต่คู่แข่งก็มีมากเช่นกัน การสร้างนั้นง่าย แต่การสร้างให้ดีและเรียกความสนใจจากผู้ใช้งาน Facebook ได้นั้น สำคัญกว่า

     กลับมาที่การมีผู้ใช้งานบน Facebook หลายล้านคน ไม่ได้หมายถึงว่า พวกเขาจะกลายมาเป็นลูกค้าของเราทั้งหมด หรือต่อให้คุณต้องการให้พวกเขากลายมาเป็นลูกค้าคุณทั้งหมด ก็ต้องถามกับตัวคุณเองว่า คุณมีงบประมาณในการทำการตลาดมากพอที่จะเข้าถึงผู้คนนับล้านคนหรือไม่ เพราะหากคิดง่าย ๆ ว่า ต้นทุนในการเข้าถึงคน 1 คน ใช้งบประมาณ 1 บาท ถ้าต้องการเข้าถึงล้านคน คุณก็ต้องใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท เป็นต้น

ดังนั้น งานด้านการทำ Content Marketing ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากซะทีเดียว และเห็นผลลัพธ์อาจไม่ทันใจ แต่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว

โดยลำดับการเปลี่ยนคนแปลกหน้ากลายมาเป็นลูกค้าของคุณ จะมีลำดับขั้นตอนดังนี้:

  • คนแปลกหน้า
  • คนแปลกหน้า กลายมาเป็นผู้เยี่ยมชม
  • จากผู้เยี่ยมชมกลายมาเป็นผู้ติดตาม
  • จากผู้ติดตามกลายมาเป็นลูกค้า
  • จากลูกค้ากลายมาเป็นผู้บอกต่อและซื้อซ้ำ

     ซึ่งในระหว่างการเปลี่ยนสถานะของผู้คน 5 ขั้นตอนนี้ จำเป็นที่จะต้องใช้ Content Marketing ให้เหมาะสมกับกลุ่มคนแต่ละขั้นอีกด้วย โดยให้คุณลองนึกภาพตามดูว่า ถ้าคุณเสนอขายของกับคนแปลกหน้าเลย โอกาสที่จะปิดการขายได้นั้นจะต่ำมาก และอาจจะทำให้คน ๆ นั้นเลิกติดตามแบรนด์คุณไปเลยก็ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาก่อน และเมื่อพวกเขาเชื่อถือแบรนด์คุณ พวกเขาก็จะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในที่สุด

คำถามต่อมาก็คือ เงินทุนน้อย ทีมงานน้อย จะทำ Content Marketing ได้หรือไม่? อย่างไร?

     หลังจากที่คุณพบจุดกึ่งกลางระหว่างข้อความของแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารออกไปและข้อมูลที่กลุ่มลูกค้าต้องการรับฟังได้แล้ว

     คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดีว่า พวกเขาต้องการอะไร? พวกเขามีปัญหาอะไร? แล้วให้คุณโฟกัสไปที่การสร้าง Content แบบ “Evergreen” หมายถึงการสร้าง Content ที่เป็นประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมาย ไม่ตกยุค สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลได้ตลอด ไม่ว่าจะผ่านไปหลายปีก็ตาม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สำหรับ Evergreen Content

  • การดูแลคุณแม่ในระหว่างการตั้งครรภ์
  • อาหารคลีนสำหรับลดความอ้วน
  • การแต่งหน้าเจ้าสาว
  • ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตนเองที่บ้าน

     ทีนี้คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผลิต Content จำนวนมาก ๆ ออกมาในทุก ๆ วัน เนื่องจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ก็ให้คุณโฟกัสไปที่การสร้าง Evergreen Content สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็เพียงพอในช่วงเริ่มต้นทำการตลาดแล้ว
การกำหนดกลยุทธ์ให้กับ Content

     ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นทำ Content Marketing คุณจำเป็นที่จะต้องทำ Content Strategy หรือการกำหนดกลยุทธ์ก่อน เพื่อให้ Content ออกมามีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดและบรรลุตามจุดประสงค์ที่ต้องการ โดยการกำหนดกลยุทธ์ให้กับ Content Marketing สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ

วิสัยทัศน์ คุณคิดอย่างไรในอีก 3-5 ปี ข้างหน้า แล้วการทำ Content Marketing จะช่วยให้ธุรกิจของคุณบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างไร?

เป้าหมาย วัตถุประสงค์ในการทำ Content Marketing สามารถแบ่งออกได้เป็น

การรับรู้ถึงแบรนด์ (Awareness)
เพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement)
เพิ่มยอดขาย (Sales)

การค้นคว้าวิจัยกลุ่มผู้มุ่งหวัง ค้นหากลุ่มคนที่คุณต้องการนำเสนอสินค้าและกลุ่มคนที่ต้องการรับฟังจากคุณ

  • อายุ เพศ ที่อยู่อาศัย ความสนใจ หน้าที่การงาน
  • แหล่งชุมนุมบนโลกออนไลน์ของกลุ่มคนเหล่านี้
  • ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการติดต่อสื่อสาร
  • ใครคือผู้มีอิทธิพลที่พวกเขามักติดตามและรับฟัง
  • พวกเขามีปัญหาอะไรที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข


สไตล์ในการนำเสนอ Mood & Tone ที่จะใช้ในการแสดงความเป็ตัวตนของแบรนด์คุณ รวมไปถึงรูปแบบการผลิตเนื้อหา ประเภทบทความ รูปภาพ หรือวีดีโอ

ไอเดียการผลิต แหล่งข้อมูลในการนำมาผลิตเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นจากเว็บไซต์อื่น จากการสนทนากันระหว่างกลุ่มเป้าหมาย คำถามที่พบบ่อยในอุตสาหกรรมของคุณ ปัญหาที่มักพบเจอในธุรกิจของคุณที่ผู้คนมักประสบปัญหา

การดูแลและการจัดการ การมอบหมายงาน ผู้รับผืดชอบงาน การตรวจสอบงาน การเก็บสถิติ รวมไปถึงการนำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาต่อยอด

กำหนดบุคคลิกของแบรนด์ให้ชัดเจน

     Facebook Page จำเป็นต้องมีแอดมินที่คอยดูแลการอัปเดตเนื้อหาและการพูดคุยกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแอดมินอาจมีได้หลายคน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ แอดมินทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีบุคคลิกของแบรนด์เดียวกัน ต่อให้แอดมินเปลี่ยนงานแล้วมีแอดมินที่เข้ามารับหน้าที่แทน ก็จำเป็นที่จะต้องคงเอกลักษณืของแบรนด์เอาไว้

     หากเปรียบเทียบเป็นคน ๆ หนึ่ง เราจะกำหนดให้คน ๆ นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น หากสินค้าของคุณคือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการสื่อสารคือกลุ่มของผู้หญิงออฟฟิศ คุณอาจกำหนดให้บุคคลิกของแบรนด์เป็น ผู้หญิงออฟฟิศ วัย 25 ปี ที่ชอบการแต่งหน้าและดูแลตัวเองให้มีบุคคลิกดีอยู่เสมอ เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ค่อนข้างจริงจังกับงาน เป็นต้น ซึ่งต่อให้แอดมินคุณเป็นผู้ชายก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องสวมบุคคลของแบรนด์ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

เรียนรู้การสร้าง Content Marketing Funnel เปลี่ยนจากผู้เยี่ยมชมให้กลายมาเป็นลูกค้า

ที่มา : www.ceoblog.co/wp-content/uploads/2017/08/funnel-ceo.png

Content Marketing Funnel คือขั้นตอนการเปลี่ยนจากคนแปลกหน้าไปเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ลำดับ ดังนี้

ลำดับที่ 1 การค้นพบแบรนด์เป็นครั้งแรก (Discovery)

เป้าหมายและวัตถุประสงค์ : การหาลูกค้าโดยทางอ้อมและสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์
วิธีการ : Content ให้ความรู้และ Content ไวรัล

ในขั้นตอนนี้แบรนด์ของคุณยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก รวมไปถึงบางอุตสาหกรรมที่ยังใหม่มาก คุณจึงจำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับแวดวงในอุตสาหกรรมที่คุณกำลังทำอยู่ แม้ว่าในช่วงนี้ คุณสามารถผลิต Content ที่มีคุณภาพ และผู้คนก็เชื่อถือข้อมูลนั้นจากคุณในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็อาจจะยังไม่ก่อให้เกิดการซื้อขายขึ้น เพราะในระหว่างที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเสพย์ Content ของคุณอยู่นั้น พวกเขากำลังสะสมความน่าเชื่อของแต่ละแบรนด์ที่พวกเขาได้รับ เพื่อจัดอันดับแบรนด์ที่อยู่ในใจของพวกเขา จนกระทั่งคุณสามารถที่จะทำให้พวกเขาติดตามคุณ จนกลายเป็น Top of mind กลายเป็นตัวแรกลำดับแรก ๆ หากนึกถึงสินค้าหรือบริการที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมของคุณ

ลำดับที่ 2 การพิจารณาตัวเลือกที่มีอยู่ (Consideration)

เป้าหมายและวัตถุประสงค์ : การหาลูกค้าทางตรง
วิธีการ : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อกลุ่มเป้าหมายรู้จักคุณในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่พวกเขามองหาก็คือ ปัญหาของพวกเขายังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นในขั้นตอนนี้ เป็นโอกาสดีของแบรนด์คุณที่จะนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่ใช้ได้ผลจริงกับกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งอาจเป็นคำแนะนำเบื้องต้น แต่ข้อควรระวังก็คือ พวกเขายังไม่เชื่อมั่นในแบรนด์คุณมากขนาดนั้น ให้ระวังการนำเสนอขาย ซึ่งอาจจะเกิดกำแพงขึ้นระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายได้ เพราะเมื่อพวกเขาได้รับวิธีการแก้ไขปัญหาจากคุณแล้ว พวกเขาก็สามารถแยกแยะระหว่างแบรนด์คุณกับคู่แข่งได้ว่า จะเลือกใช้บริการของเจ้าใด

ลักษณะ Content ที่กลุ่มเป้าหมายมองหาคือ

  • กรณีศึกษา
  • Content ประเภท How-to ที่สินค้าหรือบริการของคุณใช้ในการแก้ไขปัญหา
  • รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ

ลำดับที่ 3 การเปลี่ยนจากคนแปลกหน้าเป็นลูกค้า (Conversion)

เป้าหมายและวัตถุประสงค์ : การปิดการขายกับลูกค้า
วิธีการ : ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและคุณค่าของสินค้าที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครที่ลูกค้าจะได้รับ

กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในขั้นตอนนี้ เตรียมพร้อมที่จะควักเงินออกจากกระเป๋าแล้ว และเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณมากพอระดับหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับทักษะการโน้มน้าวและการปิดการขายของคุณเพื่อเปลี่ยนจากผู้เยี่ยมชมกลายมาเป็นลูกค้าอย่างเต็มตัว

และสิ่งที่สามารถช่วยในการโน้มน้าวที่ช่วยให้การปิดการขายได้ดียิ่งขึ้นก็คือ

  • การรีวิวสินค้า
  • Testimonial
  • ขั้นตอนการชำระเงินที่ง่าย น่าเชื่อถือและมีความปลอดภัย

     โดยในขั้นตอนนี้ คุณสามารถนำเสนอการขายได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะกลุ่มเป้าหมายพร้อมเปิดใจที่จะรับฟังข้อเสนอจากแบรนด์คุณแล้ว โดยคุณสามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รวมไปถึงคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ รวมไปถึงความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณที่ไม่เหมือนใคร

ลำดับที่ 4 การเก็บรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ (Retention)

เป้าหมายและวัตถุประสงค์ : การรักษาฐานลูกค้าเก่า
วิธีการ : ให้ความช่วยเหลือ ซับพอร์ทและการสานสัมพันธ์

ในฐานะผู้ประกอบการจะทราบกันดีว่า การนำเสนอขายสินค้าหรือบริการแก่ลุกค้าเก่านั้น สามารถทำได้ง่าย ประหยัดต้นทุนและมีประสิทธิภาพสูงกว่าการนำเสนอขายสินค้าหรือบริการให้กับกลุ่มที่ยังไม่เคยอุดหนุนสินค้าของแบรนด์มาก่อน

ดังนั้น การรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ จึงมีความสำคัญที่ไม่แพ้กันกับการหาลูกค้าใหม่ แต่การสื่อสารของกลุ่มลูกค้าเก่าเหล่านี้ ก็จะมีการนำเสนอ Content ที่แตกต่างจากลำดับขั้นตอนที่ผ่าน ๆ มา

ลักษณะของ Content สำหรับการรักษาฐานลูกค้าเก่า

  • การซับพอร์ทลูกค้าหลังการขาย
  • การให้ข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าเก่า
  • การใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม
  • การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ
  • กำหนดบทบาทหน้าที่และขอบเขตความรับผิดชอบของทีม Content

     หลังจากที่คุณได้กำหนดกลยุทธ์ในการสร้าง Content Marketing แล้ว ทีนี้ก็มาถึงการวางกรอบการทำงานรวมไปถึงการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบให้กับทีมงานแต่ละส่วน แม้ว่าทีมงานที่พูดถึงนั้นจะหมายถึงตัวคุณคนเดียวก็ตามที แตกต่างกันก็เพียงคุณอาจจะต้องใช้เวลาในการทำงานนานขึ้นและลดจำนวนปริมาณงานให้น้อยลง ตามทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

สร้างทีม Content ของคุณ

ที่มา : www.ceoblog.co/wp-content/uploads/2017/08/team-ceo.jpeg

คนกำหนดและวางแผนกลยุทธ์ด้าน Content

     คือคนที่สามารถทำการวิจัยก่อนการผลิต Content ของแบรนด์คุณได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นว่า แบรนด์ของคุณควรมี Mood & Tone ยังไง, สร้าง Content ให้กับกลุ่มเป้าหมายใด, ต้องหาใครมาร่วมทีมบ้าง หรือแม้กระทั่งให้คำปรึกษาคุณในด้านการทำการตลาดด้วย Content ในฐานะที่เป็นเจ้าของธุรกิจ

นักเขียนและสร้าง Content

นักเขียนที่ดีจำเป็นที่จะต้องรู้จักตัวตนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน รวมไปถึง Mood & Tone ภาษาที่ใช้ บุคคลการนำเสนอผ่านตัวหนังสือ รูปภาพหรือวีดีโอ แล้วถ่ายทอดออกมาเป็น Content ให้กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คุณได้เสพย์กัน ซึ่งแน่นอนว่าหากคุณยังไม่มีนักเขียน คุณก็อาจจะต้องพึ่งการใช้บริการจากฟรีแลนซ์ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ด้านการเขียน Content ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมของคุณ ซึ่งแน่นอนว่าก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติมเข้ามา หรือคุณอาจมอบหมายงานให้กับทีมงานที่คุณมีอยู่ ณ ปัจจุบัน สำหรับคนที่มีทักษะเกี่ยวกับการเขียน โดยอาจเพิ่มเบี้ยเลี้ยงหรือแบ่งเบาภาระงานปกติไปให้กับคนอื่นในทีม เพื่อที่จะให้เขามีเวลามาใช้กับการเขียน Content มากขึ้น

บรรณาธิการ

บรรณาธิการคือคนที่สามารถมองเห็นภาพรวมของ Content ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการมีทักษะในการดัดแปลงและแก้ไขงานเขียน ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราอาจจะพบว่า แม้ว่านักเขียนที่มีฝีมือดี ก็อาจจะเป็นงานยาก หากให้มาขัดเกลา ดัดแปลงและแก้ไขงานของตัวเอง โดยบรรณาธิการที่ดีนั้น จะสามารถช่วยแนะนำและพัฒนางานเขียนให้แก่นักเขียนเพื่อผลิตผลงานที่ดีขึ้นได้อีกด้วย

คนประสานงาน

แน่นอนว่าเมื่อมีคนภายในองค์กรเยอะขึ้น และแต่ละคนก็มัวยุ่งแต่กับงานของตัวเอง ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้ประสานเพื่อให้แต่ละฝ่ายทำงานไดลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งบุคคลนี้จะใส่ใจในเรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แผนกอื่น ๆ อาจมองข้ามไป รวมไปถึงมีทักษะการจัดการที่ดี เพื่อให้งานออกมามีคุณภาพที่ดีที่สุด

เมื่อไหร่ที่คุณควรหาทีมงานเข้ามาเสริมทัพ?

     เริ่มแรกคุณอาจเป็นคนที่ทำทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมด แต่คุณจะพบว่าคุณจะดำเนินการได้ช้าและใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นเมื่อบริษัทคุณเติบโตขึ้น คุณอาจเริ่มจากการว่าจ้างฟรีแลนซ์มืออาชีพที่เชี่ยวชาญงานเขียนและงานสร้าง Content เข้ามาช่วยงานเป็นโปรเจค แล้วสำรวจดูว่า คุ้มค่ากับการลงทุนนั้นหรือไม่ โดยคุณอาจจะพิจารณาจ้างเป็นประจำหรือโปรเจคระยะยาวในภายหลังก็ได้

     และเมื่อธุรกิจคุณเติบโตมากพอระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ คุณอาจจะต้องเพิ่มจำนวนและคุณภาพของ Content ซึ่งจะทำให้มีปริมาณมากขึ้น ใช้เวลามากขึ้น ซึ่งคุณอาจจะต้องพิจารณาหาบรรณาธิการมาจัดการกับจำนวน Content ที่มากขึ้นเหล่านั้นด้วย รวมไปถึงเมื่อทีมงานคุณมีเพิ่มขึ้น คุณก็จำเป็นที่จะต้องหาคนประสานงานมาช่วยให้งานนั้นลุล่วงและเสร็จสมบูรณ์

6 ขั้นตอนวิธีการผลิต Content

ขั้นตอนที่ 1 กำหนดตารางการเผยแพร่ Content

เมื่อมีกำหนดการและตารางเวลาที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการผลิต Content ได้ถูกต้องและครบถ้วนตามกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทีม Content ของคุณมีหลายคน ก็จำเป็นที่จะต้องกำหนดตารางการทำงานให้ชัดเจน เพื่อให้ทุกส่วนได้ทำงานอย่างเป็นระบบและผลิตผลงานออกมาได้อย่างมีคุณภาพ

ขั้นตอนที่ 2 ดูแลการจัดการทั้งหมดในกระบวนการผลิต Content

แน่นอนว่า แม้จะกำหนดตารางเวลาในการทำงานที่ชัดเจน แต่หากมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเกิดสะดุดขึ้นมา มันก็จะทำให้ส่วนที่เหลือได้รับผลกระทบตามมาด้วย ยกตัวอย่างเช่น นักเขียนเกิดป่วยกระทันหันจึงไม่สามารถผลิต Content ได้ตรงตามเวลาที่กำหนด ทำให้เกิดความสูญเสียในด้านของโอกาสทางธุรกิจได้ ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีจัดการและแก้ไขปัญหาเพื่อให้งานนั้นลุล่วงไปได้ด้วยดี

ขั้นตอนที่ 3 กำหนดงานเขียนให้กับนักเขียน

แม้ว่าการมีนักเขียนภายในองค์กรที่เป็นพนักงานประจำจะมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการควบคุมคุณภาพของ Content การประสานงาน แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกที่รับงานฟรีแลนซ์ที่พร้อมจะทำให้งานให้กับคุณอีกมากมาย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีศักยภาพในอุคสาหกรรมนั้น ๆ รวมไปถึงประสบการณ์การทำงาน อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยโดยที่บริษัทคุณไม่ต้องไปหาซื้อมา เช่น คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 4 กำหนดเวลาในการสร้าง Content

ในหลาย ๆ ครั้งคุณจะพบว่า แม้ว่าคุณจะกำหนดตารางอย่างชัดเจนแล้ว แต่ก็อาจจะทำงานเสร็จไม่ทันกำหนดที่วางเอาไว้ เพราะอย่าลืมว่า ธุรกิจของคุณไม่ได้มีแต่การสร้าง Content เพียงอย่างเดียว ไหนจะต้องดูแลลูกค้า ขายของ ส่งของ จัดการของในคลังสินค้า แต่ยังไงคุณก็จำเป็นที่จะต้องหาเวลาในการผลิต Content ขึ้นมา เพื่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

ขั้นตอนที่ 5 ปรับปรุงและแก้ไข Content

วิธีการเขียนที่ดีก็คือ การเขียนอย่างต่อเนื่องโดยพยายามอย่าให้การเขียนสะดุด แม้ว่าจะมีคำผิด ตกหล่นอยู่บ้าง ก็สามารถกลับมาแก้ไขในภายหลังได้ จำไว้ว่า การปล่อยให้การเขียนไหลลื่นนั้นย่อมดีกว่าการที่จะมานั่งแก้ไขไปพร้อม ๆ กัน และหากคุณมีบรรณาธิการที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาไปเลย

ขั้นตอนที่ 6 พิสูจน์อักษร

ก่อนการเผยแพร่ทุกครั้ง คุณจำเป็นที่ต้องพิสูจน์อักษรหรือตรวจสอบความถูกต้องของงานให้เกิดความผิพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งหากเผยแพร่ไปแล้ว โดยที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ก็อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณได้

ข้อควรระวัง

การสร้าง Content ให้เน้นที่คุณภาพมากกว่าจำนวน เพราะอย่าลืมว่าผู้คนกำลังค้นหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณอยู่ และหากพวกเขาค้นหาคุณเจอแล้วพบว่า ข้อมูลที่คุณมอบให้พวกเขานั้น ไม่มีคุณภาพ มันจะกลายเป็นผลร้ายแทนที่จพเป็นผลดี และพวกเขาอาจไม่กลับมาหาแบรนด์คุณอีกเลย

ทีนี้ก็ถึงตาที่คุณจะเริ่มต้นผลิต Content เพื่อทำการตลาดให้กับธุรกิจคุณกันได้แล้ว ผมแนะนำว่า เมื่อคุณอ่านจบ คิดได้ให้ทำทัน

.

.

ขอบคุณที่มา : CEO blog

โดย :
 2170
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

Key Opinion Leader หรือ KOL คือ ผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิด ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทต่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันอย่างมาก
คนที่เคยเรียนหลักการตลาดเบื้องต้นมาแล้วคงรู้จัก 4P กันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้าแบบเราอาจจะงงว่า เอ๊ะ ไอ้เจ้า 4P มันคืออะไร เห็นนักการตลาดชอบพูดกันจังเลย
จริงๆ แล้ว "Content Marketing" ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่มีมาแต่ช้านานแล้ว แต่ในช่วงปีหลังๆ การทำ Content Marketing ได้รับการพูดถึงและความนิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้หลายๆ องค์กรหันมาให้ความสำคัญกับการตลาดแบบนี้มากขึ้น ซึ่ง "Content Marketing" มันคือกระบวนการทำการตลาดด้วยการสร้างและเผยแพร่ “เนื้อหา (Content)” ซึ่งเป็น “เนื้อหาหรือสาระที่มีประโยชน์” ไปสู่กลุ่มเป้าหมายของตัวเองที่มีโอกาศจะเป็นลูกค้า เพื่อจะดึงดูดความสนใจ สร้างปฏิสัมพันธ์ ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกประทับใจจนสามารถจดจำ Brand สินค้าได้ และเกิดความความจงรักภักดีใน Brand สินค้า(Brand Loyalty) และนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธรุกิจในรูปแบบต่างๆ ต่อไป

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์