ความเชื่อที่ว่ากลยุทธ์การโฆษณาที่ดีที่สุดบนโลกดิจิทัลต้องอยู่บนโซเชียลมีเดียอาจเริ่มสั่นคลอนเมื่อคุณได้อ่านผลการวิจัยนี้ Technorati เผยผลสำรวจจาก McKinsey & Co. ที่ระบุว่าการตลาดบนอีเมลอาจทำให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพได้มีประสิทธิภาพมากกว่า Twitter หรือ Facebook ถึง 40 เท่า!
“ดังนั้นหากคุณไม่ต้องการเพียงแค่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์หรือแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวแสนสนุก ก็ลองใช้อีเมลเรียกลูกค้าดูเป็นไร” Kaleel Sakakeeny นักเขียนของ Technorati ระบุ
ภาพประกอบแสดงว่าอีเมลสร้างลูกค้าได้มากกว่า Facebook และ Twitter
โดย Sakakeeny อ้างการสำรวจของ Hotelmarketing ที่ระบุว่า เหตุผลที่อีเมลได้ผลมากกว่า Facebook และ Twitter เป็นเพราะ 91% ของลูกค้าชาวสหรัฐมีอีเมล (แน่นอน ใครจะไม่มีล่ะ) ซึ่งทำให้อัตราที่จดหมายทางอีเมลจะนำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการสูงกว่าบนโซเชียลมีเดียถึง 3 เท่า แถมมูลค่าของการซื้อขายยังสูงกว่าอีก 17%
อย่างไรก็ตาม McKinsey & Company ระบุต่อไปว่า แม้การใช้งานอีเมลจะเสื่อมความนิยมลงในช่วงปี 2008-2012 เนื่องจากอีเมลมาร์เกตติ้งพ่ายแพ้ให้แก่กระแสโซเชียลมีเดีย และ SMS บนมือถือ แต่ผู้บริโภคก็ยังเปิดเช็คอีเมลทุกวันเช่นเดียวกับการเล่นโซเชียลมีเดีย
Sakakeeny ขยายความข้อดีของอีเมลว่า อีเมลสามารถส่งได้ทั่วถึงทุกคนที่คุณมี contact และพวกเขาจะได้เห็นมันอย่างแน่นอน และคุณยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดบนอีเมลได้โดยการส่งลิงก์ที่ผู้บริโภคสามารถคลิกเข้ามายังหน้า landing page ของเวบไซค์ของคุณได้ทันที นอกจากนี้ ผลสำรวจระบุว่ากว่า 40% ของผู้บริโภคจะเปิดอีเมลบนโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นคุณต้องมั่นใจว่าหน้าเวบไซค์ของคุณจะไม่มีปัญหาเมื่อเชื่อต่อผ่านมือถือ เพราะจากการสำรวจของ Google ระบุว่า กว่า 61% ของผู้ใช้จะไม่หวนกลับไปยังเวบไซค์ที่เขาเคยคลิกแล้วล่ม ที่เจ็บช้ำมากกว่านั้นคือในจำนวนนั้น กว่า 40% จะหันไปเข้าเวบของคู่แข่งแทน
ข้อโต้แย้งถึงการเสื่อมความนิยมของอีเมลคือ รายงานระบุว่าแม้ผู้ใช้อีเมลจะมีจำนวนน้อยลงแต่จำนวนการส่งอีเมลกลับมีมากขึ้น โดยเพิ่มเป็น 8.38 แสนล้านฉบับในปี 2013 เฉพาะในสหรัฐ แต่โจทย์ใหญ่ยังเป็นการหาที่อยู่อีเมลของลูกค้าที่มีกำลังซื้อและเป็นเป้าหมายหลัก สำหรับใครที่เริ่มสนใจอีเมลมาร์เกตติ้งแล้ว รายงานจาก Williams-Sonoma ระบุว่า อัตราคลิกของผู้ใช้อีเมลจะเพิ่มขึ้น 10% หากคุณ personalize อีเมลที่คุณส่งหาพวกเขา
ทั้งนี้ ผลสำรวจทั้งหมดเกิดในสหรัฐแต่ก็มีแนวโน้มว่าอาจนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้เช่นกันครับ
ผู้เขียน : ผมเชื่อว่าเราหลายคนก็คงเคยเกิดอารมณ์เบื่อโซเชียลเนคเวิร์กจนอยากทิ้งแอดเคาท์ไปวันละหลายๆ ครั้งด้วยหลายเหตุผล โดยส่วนตัวผมเห็นว่าโซเชียลเนคเวิร์กเป็นที่อยู่ของ “อารมณ์” อันพลุ่งพล่านมากเกินไปและมีข่าวสารที่ชักชวนให้เราเข้าใจผิดกันและกันเยอะเกินไป ดังนั้น ในยามที่เราต้องการความสงบเงียบและหวังว่าจะได้พูดคุยกับตัวตนอีกคนหนึ่งในร่างของเรา เราจึงได้ยินเสียงเขาเบาลงทุกขณะ ส่วนตัว (อีกนั้นแหละ) ผมเชื่อว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคหลายๆ คนและผลลัพธ์คือการตัดขาดโซเชียลเนคเวิร์กหรือการร่ำร้องเพียง “ข้อมูล” ล้วนๆ ที่ไม่มีการเร่งเร้าหรืออารมณ์เจือปน จุดนี้ทำให้ข้อดีบนข้อเสียของการตลาดบนอีเมลเผยได้เปรียบขึ้นเพราะผู้บริโภคมองเพียงหางตาก็รู้ว่าอีเมลที่คุณส่งไปเป็นโฆษณา (ยกเว้นคุณจะพยายามหลอกพวกเขา…แต่นั้นก็เสี่ยงทำให้พวกเขาเกลียดแบรนด์ของคุณเช่นกัน) ดังนั้น มันจึงเป็นความ “แฟร์” ระหว่างมาร์เกตเตอร์และลูกค้า หากลูกค้าเปิดอ่านและรับรู้ข่าวสารที่เราส่งไปก็หมายความว่าเขาต้องการสินค้าหรือบริการนี้จริงๆ ไม่ได้ถูกเรายัดเยียดและไม่รู้สึกรำคาญสิ่งที่เราส่งไปมากนัก
กระแสโซเชียลเนคเวิร์กมาแรงก็จริง แต่อย่าลืมว่าบางครั้งการ back to basic ก็อาจได้ผลเกิดคาดเช่นกัน
Credit : Marketingoops.com