การออกเว็บไซต์ จากอดีตสูปัจจุบัน

การออกเว็บไซต์ จากอดีตสูปัจจุบัน



ยุคการออกเว็บไซต์ กับการเปลี่ยนแปลงตามยุคตามสมัย ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางอินเตอร์เน็ต และ พฤติกรรมผู้ใช้สื่อออนไลน์

มองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ของการอินเตอร์เน็ต กันหน่อย

  • ในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) เป็นการเริ่มต้นใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับเชื่อมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์ เรียกว่า เครือข่ายอาร์พาเน็ตเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ถึงกันเป็นครั้งแรก
  • ต่อมาปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) มีการปรับปรุงเครือข่ายอาร์พาเน็ตให้ใช้งานได้อย่างจริงจัง และเปลี่ยนชื่อเป็นดาร์พาเน็ท (DARPAnet)
  • ปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ.2526) มีการขยายเครือข่ายและเปิดการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่น โดยใช้เกณฑ์วิธีหรือโพรโทคอลชนิดทีซีพี/ไอพี (TCP/IP) ระบบเซิร์ฟเวอร์ เริ่มมีการใช้งาน สำหรับการเก็บข้อมูลเพื่อเผยแพร่ จึงเป็นจุดเริ่ม ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เรียกว่า เว็บไซต์ หรือ www.ซึ่ง หัวข้อของข้อมูล ถูกกำหนดให้ใช้เป็น “โดเมนเนม” ส่วนคำลงท้ายของโดเมน เริ่มแรกใช้คำว่า .com ต่อมา มีผู้ใช้ชื่อโดเมนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการขยาย คำลงท้าย เป็น .net. org .info กระทั่งปัจจุบันมีคำลงท้าย เป็นจำนวนมาก
  • ปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ.2552) ระบบ 3G เริ่มมีการใช้งานในโทรศัพท์เคลื่อนที่
  • ปี ค.ศ. 2013 พศ. 2556 เริ่มใช้เปิดตัวระบบ 4G กระทั่ง ต่อมาปี ค.ศ 2017 (พศ. 2560) ได้มีการเปิดตัว ระบบ 5G ใช้แพร่หลายกันเกือบทั่วโลก


คราวนี้ เรามามองยุคของการออกแบบเว็บไซต์กันบ้าง ถ้าให้แบ่งการทำเว็บไซต์ออกเป็นยุค แบ่งออกได้เป็น 3 ยุค การออกแบบเว็บไซต์ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของ อินเตอร์เน็ต กับ ค่านิยมของผู้ใช้งาน แต่ต่านิยมของมาจาก พัฒนาการของอินเตอร์เนท และ พัฒนาการของอุปกรณ์สื่อสาร นั่นเอง

1. ยุคเริ่มต้นอินเตอร์เน็ต (1969 – 1972) เป็นเว็บไซต์ที่เน้นเฉพาะตัวหนังสือ (Text) เนื่องจากความไวอินเตอร์เน็ต เป็น ตัวกำหนด ภาษาที่ใช้เขียนเว็บไซต์ ที่เป็นที่นิยม สมัยนั้น เรียกว่า HTML
2. ยุค PC (1972-1983) เมื่ออินเตอร์เนท มีการพัฒนาความไวขึ้น เริ่มมีการส่งข้อมูลที่เป็นภาพ และ วีดีโอ จึงเกิดโปรแกรม เขียนเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย โดยใช้ภาษาเขียนต่างๆ เช่น asp php flash เป็นต้น เว็บไซต์ยุคนี้ จะต้องดูผ่าน PC เพราะมือถือยังไม่เกิด ดังนั้นเว็บส่วนมาก มักจะเน้นความสวยงามเป็นหลัก เพื่อดึงดูดคน เข้าเว็บไซต์
3. ยุค Mobile นับเริ่มตั้งแต่มีตัว G มาใช้ ( 2009-ปัจจุบัน) ถึงแม้ว่าอินเตอร์เน็ต จะพัฒนาได้ไวขึ้น แต่มือถือ กลายมามีบทบาท กับการเข้าชมเว็บไซต์ การพัฒนาเว็บไซต์ที่ให้รองรับ PC อย่างเดียวไม่ได้ และ ด้วยระบบมือถือเอง ก็ยังไม่สามารถ เทียบเท่าประสิทธิภาพของ PC จึงเรื่มมีการผลิต Application สำหรับมือถือ ขึ้นมาใช้ แต่ในส่วนการทำเว็บไซต์ ก็ต้องปรับเปลี่ยน ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานในมือถือมากยิ่งขึ้น



ที่มา: websitegang.com

โดย :
 2134
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ในการเปิดเว็บไซต์แต่ละหน้า เว็บไซต์ที่ดีไม่ควรมีองค์ประกอบที่ทำให้ผู้เข้าชมเว็บใช้เวลาในการโหลดนานเกินไป เพราะธรรมชาติของผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างหนึ่ง คือ..
เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็
เมื่อพูดถึงการทำงาน หลายๆคนอาจจะบอกว่าทำงานนานๆ ก็เหนื่อยล้า หรือไม่มีแรงในการทำงานต่อ ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการบริหารการทำงานที่ไม่ถูกต้อง บางทีอาจจะเคร่งกับงาน หรือทำงานนานเกินไป ซึ่งผลกระทบต้องตามมาแน่นอน โดยทางที่ดีเราควรจัดสรรเวลาใหม่ ซึ่งเทคนิค POMODORO เป็นเทคนิควิธีที่ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์