ขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงิน 3000 บาท โครงการเราเที่ยวด้วยกัน

ขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงิน 3000 บาท โครงการเราเที่ยวด้วยกัน




บทสรุปเงื่อนไข "เราเที่ยวด้วยกัน" โรงแรม-ร้านค้า ดีเดย์ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com 1 ก.ค. ส่วนประชาชนทั่วไปกดจองรับสิทธิ์ 15 ก.ค.

บทสรุปสำหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ที่ต้องการช่วยทั้งผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องให้มีสภาพคล่อง และกระตุ้นให้ประชาชนเกิดการใช้จ่าย เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยจากผลประชุม ครม. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ได้ข้อสรุปว่าจากมาตรการเดิมที่มี 3 แพ็คเกจก็ปรับเหลือ 2 แพ็คเกจ ได้แก่ "เราเที่ยวด้วยกัน" (เที่ยวปันสุข+เราไปเที่ยวกัน) และ กำลังใจ 

 ส่วนรายละเอียดของ 2 แพ็คเกจ  ได้แก่ 1. โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน" คือการนำ 2 แพ็คเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวเดิม คือ "เที่ยวปันสุข" กับ “เราไปเที่ยวกัน” มารวมเป็นแพ็คเกจเดียว และ 2. แพ็คเกจกำลังใจ เปิดให้เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 1.2 ล้านคน ได้เที่ยวผ่านบริษัทท่องเที่ยวโดยไม่น้อยกว่า 2 วัน 1 คืนในราคาไม่เกิน 2,000 บาทต่อ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์

ขณะที่การรับสิทธิของแพ็คเกจ "เราเที่ยวด้วยกัน"นั้น จะเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนวันที่ 15 กรกฏาคม 2563 แต่สำหรับผู้ประกอบการโรงแรม - ร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วม 1 กรกฎาคม 2563 โดยสามารถคลิกเข้าไปที่  www.เราเที่ยวด้วยกัน.com

 

ในแง่ของเงื่อนไขสิทธิประโยชน์เมื่อลงทะเบียนรับสิทธ์ "เราเที่ยวด้วยกัน" ประกอบไปด้วย

  • สิทธิที่ 1ส่วนลดค่าที่พัก 40% ต่อคืน สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน ( สูงสุด 5 คืน)
  • สิทธิที่ คือ รับคูปอง  600 บาทต่อวัน ใช้เป็นส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการ โดยชำระ 60 % อีก 40 % ตัดจากคูปอง
  • สิทธิที่3 คืนเงินค่าตั๋วเครื่องบิน 40 % แต่ไม่เกิน 1,000 บาทต่อที่นั่ง(จำกัดจำนวนการ redeem ค่าตั๋วเครื่องบินได้ ห้องพักละ 2 ที่นั่ง ตามจำนวนห้องพักที่เข้าพักโรงแรมจริง ทั้งนี้รวมไม่เกิน 10 ที่นั่ง) โดยประชาชนแสดงความประสงค์ขอ redeem ค่าตั๋วเครื่องบินผ่านเว็บไซต์ โดยจะได้รับเงินสนับสนุนเมื่อตรวจสอบแล้วว่ามีการเดินทางจริงและเข้าพักจริง

 

แต่ก่อนที่ประชาชนคนทั่วไปจะลงทะเบียนได้นั้น ต้องรอวันที่ 15 ก.ค. 2563 แต่หากเป็นผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว สามารถที่จะคลิกเข้าไปใน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com  เพื่อลงทะเบียนได้แล้วตั้งแต่วันนี้ 1 ก.ค. 2563 

วิธีลงทะเบียน

ผู้ประกอบการ (โรงแรมต้องมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม,ร้านอาหาร-สถานที่ท่องเที่ยว) 
-ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย
-สมัครใช้บริการแอปพลิเคชันถุงเงิน
-สมัครใช้บริการระบบชำระเงินออนไลน์ (Payment Service Provider) หรือผู้ให้บริการ Online Travel Agency กับผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ เฉพาะผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พักเท่านั้น
-ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการที่ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com
-เมื่อลงทะเบียนแล้วเสร็จ จะทราบผลว่าผ่านเกณฑ์และไม่ผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการฯโดยจะได้รับ SMS แจ้งผลจากชื่อผู้ส่ง “TTogether”

 

ส่วนประชาชนคนทั่วไป ที่จะรับสิทธินั้นจะเปิดให้ลงทะเบียน 15 ก.ค. 2563  มีเงื่อนไขลงทะเบียน ได้แก่ มีบัตรประจำตัวประชาชนและเป็นบุคคลสัญชาติไทย,อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน และประชาชนจะได้รับสิทธิเมื่อท่องเที่ยว กิน และนอน ในจังหวัดที่ไม่ใช่ทะเบียนบ้านของตนเอง

รายละเอียดการลงทะเบียนของประชาชนคนทั่วไป 
-ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการที่www.เราเที่ยวด้วยกัน.com

-สามารถตรวจสอบผลการลงทะเบียนได้จากsms โดยระบบจะส่ง sms แจ้งผลจากชื่อผู้ส่ง “TTogether” แจ้งไปยังเบอร์ที่รับรหัส OTP

-ประชาชนมีสิทธิ 1 คนต่อ 5 ห้อง/คืน สามารถจองกี่ครั้งก็ได้ แต่ใช้สิทธิส่วนลดห้องพักได้ไม่เกิน 5 ห้องคืน

-บัตรกำนัลส่วนลดโรงแรม 40 % และอาหาร/สถานที่ท่องเที่ยว 600 บาทต่อวัน จะมีอายุการใช้งานถึง 23.59น. ของวันที่จอง เช็คเอ้าท์ ที่พัก

-ตามเงื่อนไขของโครงการ เมื่อทำการจองที่พักและชำระเงินส่วน 60% แล้วจะไม่สามารถยกเลิกและเปลี่ยนการจองได้

-ส่วนประชาชนที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการ สามารถจองโรงแรมผ่านช่องทาง Online Travel Agency (OTA) ได้แก่ Agoda , Traveloka หรือจะเข้าเว็บไซต์โรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ (ถ้ามี)หรือเข้าที่ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com โดยไปที่ค้นหากิจการโรงแรม หรือ ช่องทางติดต่ออื่นๆที่โรงแรมมี เช่น Line , Facebook , เบอร์โทรศัพท์
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : thansettakij

 

โดย :
 2484
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปีที่ผ่าน ๆ มา สถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างพากันลงทุนจำนวนมากกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างช่องทางให้ผู้เรียนเข้าถึงหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น แน่นอนว่าแนวโน้มการศึกษาในปี 2017 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "ประชาชาติธุรกิจ" จึงรวบรวมแนวโน้มการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เยสคอร์ส (YesCourse) ผู้สร้างแพลตฟอร์มการกระจายการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้ขายหลักสูตรการศึกษาออนไลน์ของตน โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 3,500 สถาบันการศึกษาระบุว่า ในปีที่ผ่านมาการศึกษาออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษาอย่างมาก และเป็นตัวเสริมให้การศึกษาแบบดั้งเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนจากทุกที่ แต่ในปี 2017 ระบบการเรียนออนไลน์แบบเสมือนจริง Virtual Reality (VR) จะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นและได้ยิน VR ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาแล้ว เช่น การบิน การทหาร และเกม แต่ในอนาคต VR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งทำให้ผู้ใช้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในการเรียนรู้มากขึ้น แนวโน้มต่อมา คือ Cloud Migration หรือการเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลต่าง ๆ สู่คลาวด์ ซึ่งสถาบันการศึกษานำข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบไอทีของตนเองสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเอง ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต จัดการบริหารทรัพยากรของระบบ และสามารถแบ่งทรัพยากรร่วมกันได้ง่าย อีกหนึ่งแนวโน้มที่ YesCourse พูดไว้ คือ การวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) และการเรียนเชิงทำนาย (Predictive Learning) ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ พวกเขาทิ้งรอยดิจิทัลไว้ (Digital Footprint) สิ่งนี้ทำให้สถานศึกษา และครูผู้สอนสามารถใช้ทำนายเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียน และสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและเหมาะสม นอกจากนั้นยังเป็นข้อดีต่อการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากร เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ส่วนเว็บไซต์ Pathway to Financial Success บอกว่า แนวโน้มการศึกษาจะเข้าสู่ยุค The Internet of Things (IoT) เพราะอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์โฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้นทุกวัน โดยบริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner Inc.) ทำนายว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์สิ่งของต่าง ๆ เชื่อมต่อกันไม่ต่ำกว่า 20.8 ล้านล้านชิ้นทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศอังกฤษจึงทุ่มงบฯลงทุนด้านการวิจัยและศึกษาด้าน IoT ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์จาก IoT ได้แก่ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning), รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning), กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและยั่งยืน (Self-directed Learning), ส่งเสริมเรียนรู้ผ่านพหุประสาทสัมผัส (Multisensory Learning), สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (Gender Equality) และสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Creating Smart Classroom) นอกจากนั้น Real-World Case Studies หรือกรณีศึกษาจากโลกแห่งความจริงจะเข้มข้นมากขึ้นในทุกวิชา เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน และเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าข้อมูลในตำรา กรณีศึกษาในโลกแห่งความจริงยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน ในขณะที่ "บิล เกตส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลวิเคราะห์ไว้ว่า ค่าใช้จ่ายการศึกษาจะน้อยลงและทุนการวิจัยจะมากขึ้น "เป็นที่รู้กันว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการต่อยอดการศึกษา แต่ที่ผ่านมานักวิจัยหลายคนต่างต้องวิ่งเต้นหาทุนวิจัย และหาการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยผู้เรียนสามารถเรียนได้ฟรีจากระบบการศึกษาที่เรียกว่า MOOCs (Massive Online Open Courses) จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนน้อยลง ผู้เรียนสามารถมีทุนวิจัยของตนเอง" "ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้สอนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องสร้างห้องเรียนหรืออาคารเรียน เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้เราต่างก็ใช้งาน Facebook กันอยู่อย่างมากมาย แต่ไม่ควรใช้ Facebook แทน Website เพราะมีปัญหาในการแสดงผล หาสิ่งที่ต้องการได้ยาก
ส่วนใหญ่องค์กร บริษัท และหน่วยงานต่างๆ มักจะนำช่องทางประเภทเว็บไซต์มาใช้งานกันมากขึ้น ทำให้เกิดเว็บไซต์ขึ้นมากมาย

Feature SoGoodWeb

SoGoodWeb มีระบบรับชำระเงินแบบใหม่ผ่าน Pay Solution รองรับทุกธนาคารชั้นนำ ทำให้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
LINE Notify คือ บริการที่คุณสามารถได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเว็บเซอร์วิสต่างๆ ที่คุณสนใจได้ทาง LINE โดยหลังเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อกับทางเว็บเซอร์วิสแล้ว คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชีทางการของ “LINE Notify” ซึ่งให้บริการโดย LINE นั่นเอง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เปิดธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นเจ้าของเอง หรือเป็นรายย่อย เป็นระบบจองทัวร์ ที่ช่วยทำให้การจัดการธุรกิจทัวร์ - ทัวร์ท่องเที่ยว ให้เป็นเรื่องง่าย
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์