การซื้อโฆษณา Google Ads คือการทำโฆษณาออนไลน์ผ่านเครือข่าย Google ซึ่งมีบริการหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ได้แก่ Google Search, Google Display Network และ Video Ads บน Youtube เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าของเราได้ตรงกลุ่มมากที่สุด โดยองค์ประกอบสำคัญของการทำโฆษณา Google Ads คือ "Keyword"
เพราะการแสดงผลโฆษณาในเครือข่าย Google จะอาศัยความเกี่ยวข้องระหว่างลูกค้ากับสินค้าหรือบริการ โดยอาศัย "Keyword" ที่ลูกค้าใช้เป็นคำค้นหาทั้งใน Google Search เพื่อแสดงผลโฆษณาที่เกี่ยวข้อง การเลือก Keyword ที่ดีจะทำให้เกิดอัตราการคลิก (CTR) สูง และเพิ่มโอกาสสร้างยอดขาย (Conversion) ได้มาก
ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเลือก Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้า และสอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ซึ่ง Keyword ในการซื้อโฆษณา Google Ads มีหลายประเภท มาทำความรู้จักประเภทของ Keyword ก่อนลงมือซื้อโฆษณากันเลยค่ะ
1.Broad match
เป็น Keyword แบบกว้าง โฆษณาจะไม่เพียงแค่แสดงผลลัพธ์เมื่อมีคนค้นหาด้วยคำที่ตรงกันเท่านั้น แต่อาจจะแสดงผลเมื่อมีคนค้นหา Keyword ที่ใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่สะกดผิดแต่ความหมายเหมือนกัน กับคำ Keyword ที่เราเลือกไว้ด้วยก็ได้การเลือกใช้ Broad match เหมาะกับธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัว ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างและเป็นจำนวนมาก
เช่น Keyword คือ หน้ากาก แต่หากมีคนค้นหาด้วยคำว่า หน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า หน้ากากแฟนซี หน้ากากทุเรียน หน้ากาก The Mask Singer โฆษณาของคุณก็จะแสดงผลด้วยเช่นกัน
2.Broad Match Modifier
Keyword ที่ทำงานแคบกว่า Broad Keyword มีเครื่องหมาย (+) นำหน้า สามารถมีคำอื่นๆ หรือรูปประโยคอื่นๆ มาแทรกระหว่างได้ และการแสดงผลลัพธ์จะแต่แสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับคำค้นหาเท่านั้น ไม่แสดงคำคล้ายเหมือน Broad Keyword เช่น Keyword คือ +หน้ากาก +ผ้า +รองเท้า, +ผู้ชาย โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำว่า หน้ากากผ้า หน้ากากแบบผ้า วิธีทำหน้ากากผ้า โฆษณาก็จะแสดงผลเช่นกัน
สรุปสั้น ๆ คือ โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีคำว่า หน้ากาก กับ ผ้า ในประโยค ไม่ว่าจะเรียงคำ สลับคำ หรือมีคำอื่นมาแทรกก็ตาม
3.Phrase match
เป็น Keyword ที่แคบลงมา และมีความเจาะจงมากขึ้นกว่า 2 แบบแรก โดยจะมีเครื่องหมายคำพูด ("") ปิดหัว ปิดท้าย คำ Keyword ที่เราเลือก โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีผู้ค้นหาด้วยคำเดียวกับที่เราได้เลือกไว้ และอาจแสดงผลเมื่อมีคำนี้อยู่ในประโยคอื่น ๆ ได้
เช่น Keyword คือ "หน้ากากผ้า" โฆษณาจะแสดงผลหากมีคนค้นหาด้วยคำว่า หน้ากากผ้า ซื้อหน้ากากผ้า ที่ไหนขายหน้ากากผ้า หน้ากากผ้าราคาถูก แต่จะไม่แสดงผลหากค้นหาด้วยคำว่า หน้ากากแบบผ้า ผ้าสำหรับทำหน้ากาก
สรุปง่าย ๆ คือ โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีคำว่า หน้ากากผ้า ที่พิมพ์เรียงลำดับตามนี้ แต่จะไม่ปรากฏหากมีคำอื่น ๆ มาแทรกระหว่างกลาง หรือมีการสลับคำ
4.Exact match
เป็น Keyword ที่แคบที่สุด และมีความเจาะจงมากที่สุด โดยจะใส่เครื่องหมายวงเล็บแบบเหลี่ยม [] ปิดหัว ปิดท้าย คำที่เราเลือก โฆษณาจะแสดงผลต่อเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำที่ตรงกับ Keyword เท่านั้น
เช่น Keyword คือ [หน้ากากผ้า] โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำว่า หน้ากากผ้า เท่านั้น แต่จะไม่แสดงผลหากค้นหาด้วยคำว่า ขายหน้ากากผ้า วิธีทำหน้ากากผ้า ซื้อหน้ากากผ้าที่ไหน หน้ากากผ้าราคาถูก เป็นต้น
5.Negative
เป็นการยกเว้นไม่ให้โฆษณาแสดงผลในการค้นหาที่มีคำนั้น ๆ ที่เราเลือกไว้ โดยจะใส่เครื่องหมายลบ (–) นำหน้าคำ Keyword จะเป็นการช่วยกรองกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าของเราออกไป
เช่น Keyword คือ +หน้ากาก -The Mask Singer โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีคนค้นหาคำว่า หน้ากาก หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย หน้ากากแฟนซี แต่จะไม่แสดงผลเมื่อมีคนค้นหาคำว่า หน้ากากทุเรียน The Mask Singer
ได้รู้จักประเภทของ Keyword ในการซื้อโฆษณา Google Ads กันไปแล้ว ก็ลองนำไปใช้วางแผน Keyword สำหรับสินค้าและธุรกิจของทุกคนกันได้เลย โดยเลือกใช้ Keyword แต่ละประเภทให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณาด้วย เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : digitorystyle